วันหนึ่งที่โรงเรียนตอนพักเที่ยง.....
ระหว่างที่ผมเดินกลับมาจากซื้อ 'ขนมโก๋' ที่โรงอาหาร ผมเห็น 'หมูอ๋อง' กับ 'แป้ง' เพื่อนสนิททั้งสองคนของผมกำลังถกเถียงเรื่องอะไรซักเรื่องอย่างเอาเป็นเอาตาย อยู่ที่โต๊ะม้าหินข้าง ๆ เสาธง
"มันคือความเมตตาที่พ่อแม่มีให้ลูก ๆ แน่นอน" หมูอ๋องพูดเสียงดังใส่แป้ง
"มันคือความเอาใจใส่ที่พ่อแม่มีให้กับลูก ๆ ต่างหากล่ะ" แป้งตะโกนกลับไปด้วยเสียงที่ดังกว่า เธอเป็นเด็กผู้หญิงที่มอมแมมและชอบเล่นซุกซนเหมือนเด็กผู้ชาย...ที่สำคัญเธอร้ายไม่ใช่เล่น!!
"นี่พวกเธอกำลังคุยกันเรื่องอะไรเหรอ ?" ผมถาม
"พวกเรากำลังเถียงกันเรื่องความรักของพ่อแม่คืออะไรอยู่น่ะสิ" แป้งบอก
"ใช่ ๆ ฉันคิดว่าความรักของพ่อแม่ก็คือความเมตตาที่มีให้กับลูก ๆ ส่วนยัยเด็กผู้หญิงคนนี้กลับบอกว่ามันคือการเอาใจใส่...ซึ่งฉันว่ามันไม่ถูกต้องนายว่าไหมคำนับ" ประโยคหลังหมูอ๋องถามผมเหมือนต้องการเสียงสนับสนุน
"อย่ามาทำเป็นหาพวกหน่อยเลยอ้ายหมูอ้วน...เธอว่าฉันหรือหมูอ๋องกันแน่ที่เป็นฝ่ายถูก" คราวนี้แป้งเป็นฝ่ายถามผมขึ้นมาบ้าง เธอไม่ถามอย่างเดียวแต่ถลึงตากลมโตใส่ผมด้วย
"เออ...เออ...ไม่รู้สินะ" ผมรู้สึกเหมือนขนมโก๋คำที่เพิ่งจะกินไปเมื่อครู่จุกอยู่ที่ลำคอ
"งั้นเธอว่าความรักของพ่อแม่คืออะไร ?" แป้งถามอีก คราวนี้เธอเปลี่ยนอิริยาบถมาเป็นยืนเท้าสะเอว
"ฉัน...เออ...ฉันว่า...ความรักของพ่อแม่ก็คือ 'เป็ดพะโล้' มั้ง" ผมตอบตะกุกตะกัก
คำตอบของผมทำให้แป้งและหมูอ๋องต้องหันไปสบตากันก่อนจะหันกลับมามองหน้าของผมพร้อม ๆ กันอีกครั้ง...หน้าที่ดูเจื่อน ๆ มีเศษขนมโก๋เลอะอยู่แถว ๆ แก้มและมุมปาก
วันจันทร์ที่ ๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๑
๑๙.ประตูที่เปิดไม่ออกและผีที่อยู่ในนั้น!!
"ใครก็ได้ช่วยฉันที...ฉันติดอยู่ในห้องนี้ ประตูมันเปิดไม่ออก...ช่วยด้วย!!"
ผมตะโกนสุดเสียงด้วยหวังว่าจะมีใครสักคนได้ยินคำร้องขอความช่วยเหลือของผมบ้าง มือเล็ก ๆ ทั้งสองข้างพยายาม 'ดัน' ประตูให้เปิดออกเท่าที่แรงของเด็กคนหนึ่งจะพึงมี เมื่อเห็นว่าการออกแรงดันไม่ได้ผลจึงเปลี่ยนมาเป็นการใช้กำปั้นทุบใส่ประตูแทนจนเสียงดังก้องไปทั่ว ปากก็ยังร้องขอความช่วยเหลือดังลั่น
"นี่ ๆ พ่อหนูน้อย...เบา ๆ หน่อยก็ได้ ฉันเจ็บนะจะบอกให้" ประตูว่า มันคงเหลืออดเต็มทน
"ก็ทำไมฉันเปิดเธอไม่ออกเล่า...เธอแกล้งฉันหรือเปล่า ?" ผมพูดกับประตู แต่มือยังคงระดมกำปั้นใส่มันต่อไป
"นี่ ๆ ช่วยตั้งสติหน่อยเถอะพ่อหนูน้อย...นึกดูดี ๆ ซิว่าตอนเธอเข้ามาน่ะ เธอ 'ผลัก' ฉันเข้ามาใช่ไหม ?...แล้วตอนเธอจะกลับออกไปเธอทำอย่างไรกับฉัน"
คำพูดของประตูทำให้ผมหยุดตะโกนและเลิกทุบกำปั้นใส่มัน แล้วนึกไปถึงตอนที่ผมเข้ามาในห้องนี้ครั้งแรก !!
ผมตะโกนสุดเสียงด้วยหวังว่าจะมีใครสักคนได้ยินคำร้องขอความช่วยเหลือของผมบ้าง มือเล็ก ๆ ทั้งสองข้างพยายาม 'ดัน' ประตูให้เปิดออกเท่าที่แรงของเด็กคนหนึ่งจะพึงมี เมื่อเห็นว่าการออกแรงดันไม่ได้ผลจึงเปลี่ยนมาเป็นการใช้กำปั้นทุบใส่ประตูแทนจนเสียงดังก้องไปทั่ว ปากก็ยังร้องขอความช่วยเหลือดังลั่น
"นี่ ๆ พ่อหนูน้อย...เบา ๆ หน่อยก็ได้ ฉันเจ็บนะจะบอกให้" ประตูว่า มันคงเหลืออดเต็มทน
"ก็ทำไมฉันเปิดเธอไม่ออกเล่า...เธอแกล้งฉันหรือเปล่า ?" ผมพูดกับประตู แต่มือยังคงระดมกำปั้นใส่มันต่อไป
"นี่ ๆ ช่วยตั้งสติหน่อยเถอะพ่อหนูน้อย...นึกดูดี ๆ ซิว่าตอนเธอเข้ามาน่ะ เธอ 'ผลัก' ฉันเข้ามาใช่ไหม ?...แล้วตอนเธอจะกลับออกไปเธอทำอย่างไรกับฉัน"
คำพูดของประตูทำให้ผมหยุดตะโกนและเลิกทุบกำปั้นใส่มัน แล้วนึกไปถึงตอนที่ผมเข้ามาในห้องนี้ครั้งแรก !!
๑๘.ไข้หวัด...ผมจะช่วยแม่เอง!!
วันหนึ่ง.....
แม่ของผมกลับมาจากตลาดพร้อมด้วยกับข้าวถุงใหญ่และใบหน้าที่แดงก่ำ...ทำไมแม่ชอบไปตลาดนักนะ ?...แล้วทำไมวันนี้หน้าของแม่ถึงได้แดงแบบนั้นล่ะ ?
บางทีแม่ค้าที่ตลาดอาจจะชมว่า 'แม่สวย' ก็เป็นได้...เพราะทุกครั้งที่พ่อชมว่าแม่สวยและทำกับข้าวเก่ง แม่ก็มักจะมีหน้าตาแบบนี้นี่แหละ
เมื่อก้าวผ่านประตูบ้านเข้ามา แม่ลงนั่งก่อนจะวางถุงกับข้าวเอาไว้ใกล้ ๆ ตัว ท่าทางของแม่ดูเหมือนคนเหนื่อยและอิดโรยซึ่งผมไม่ค่อยเห็นแม่เป็นแบบนี้บ่อยนัก ภาพที่ผมชินตาจะเป็นภาพของแม่ที่เมื่อกลับมาจากตลาดก็จะตรงดิ่งเข้าครัวเพื่อทำกับข้าวทันที...แต่คราวนี้ไม่ใช่ !!
แม่ของผมกลับมาจากตลาดพร้อมด้วยกับข้าวถุงใหญ่และใบหน้าที่แดงก่ำ...ทำไมแม่ชอบไปตลาดนักนะ ?...แล้วทำไมวันนี้หน้าของแม่ถึงได้แดงแบบนั้นล่ะ ?
บางทีแม่ค้าที่ตลาดอาจจะชมว่า 'แม่สวย' ก็เป็นได้...เพราะทุกครั้งที่พ่อชมว่าแม่สวยและทำกับข้าวเก่ง แม่ก็มักจะมีหน้าตาแบบนี้นี่แหละ
เมื่อก้าวผ่านประตูบ้านเข้ามา แม่ลงนั่งก่อนจะวางถุงกับข้าวเอาไว้ใกล้ ๆ ตัว ท่าทางของแม่ดูเหมือนคนเหนื่อยและอิดโรยซึ่งผมไม่ค่อยเห็นแม่เป็นแบบนี้บ่อยนัก ภาพที่ผมชินตาจะเป็นภาพของแม่ที่เมื่อกลับมาจากตลาดก็จะตรงดิ่งเข้าครัวเพื่อทำกับข้าวทันที...แต่คราวนี้ไม่ใช่ !!
๑๗.ความจริงของลูกเจี๊ยบแสนสวย
"ขอโทษนะที่ไมได้บอกเธอตั้งแต่ตอนแรกว่าฉันไม่ได้สวยงามอย่างที่เธอเข้าใจ"
ลูกไก่บอก พลางก้มหน้าลงมองพื้นดินเพื่อหลบสายตาของผมที่จับจ้องมันอยู่ด้วยความผิดหวัง
"นั่นเท่ากับว่าเธอเจตนาจะโกหกฉัน...ก็แล้วทำไมต้องบิดบังฉันด้วยเล่า ?" ผมว่า
"ฉันกลัวว่าถ้าหากเธอรู้...เธอจะไม่ยอมซื้อฉันมาน่ะสิ...ฉันไม่อยากอยู่กับคนขายใจร้ายคนนั้น" ลูกไก่พูด แล้วมันก็เริ่มร้องไห้ออกมา
๑๖.รถเก๋งคันโก้
ทุกเย็นหลังเลิกเรียน พ่อของ หมูอ๋อง เพื่อนสนิทคนหนึ่งของผม จะขับรถเก๋งคันโก้มารับหมูอ๋องที่โรงเรียนเป็นประจำ...บางทีพ่อของเขาอาจจะขับรถมาส่งในตอนเช้าด้วยก็ได้...แต่ผมไม่เห็น...นั่นเป็นเพราะหมูอ๋องมักจะมาถึงในเวลาที่เพื่อน ๆ เข้าห้องเรียนกันหมดแล้ว...เป็นแบบนี้ทุกวันซิน่า!!
รถเก๋งคันที่พ่อของหมูอ๋องขับมารับเขานั้น แม้จะเล็กกว่ารถเมล์ที่พ่อของผมพานั่งกินลมบ่อย ๆ แต่ทว่ามันดูสง่างามมากกว่า ที่สำคัญมันไม่มีคนซึ่งเราไม่รู้จักนั่งรวมอยู่ด้วย...ผมแอบเห็นหมูอ๋องพองตัวอ้วนกลมของเขามากขึ้นกว่าเดิม เมื่อรู้ว่าถูกสายตาของผมจับจ้องอยู่...เขาช่างเหมือนกับอึ่งอ่างเสียนี่กระไร...ผมคิด !!
๑๕.เด็กชายม้า
"นี่พวกนาย ให้ฉันเล่นด้วยคนซิ!"
เสียงของเด็กผู้ชายตัวสูงโย่งเกินวัย หยุดการละเล่น กระต่ายขาเดียว ของผมและเพื่อน ๆ อีก 5-6 คนลง
"ว้า! เสียดายจัง...พวกเรากำลังจะเลิกเล่นอยู่พอดีเลย" แป้งบอก เธอเป็นเด็กหญิงที่มีจมูกเชิดรั้นและหน้าตามอมแมมเหมือนกับเด็กผู้ชาย
"พวกเราไปกินน้ำกันเถอะ เดี๋ยวก็ได้เวลาขึ้นเรียนแล้ว" หมูอ๋อง ชักชวนเพื่อน ๆ เขาเป็นเด็กผู้ชายตัวอ้วนกลมที่สามารถกระโดดกระต่ายขาเดียวได้ว่องไวเอามาก ๆ ผิดกับรูปร่างที่ใครเห็นมักจะคิดว่าเขาเชื่องช้า
เพื่อน ๆ เดินจับกลุ่มกันไป แต่ผมยังยืนอยู่ที่เดิมสายตาจับจ้องไปยังเด็กชายผู้ที่เข้ามาขอเล่นด้วยคนนั้น...ผมไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่หวังว่าเขาจะอ่านแววตาของผมออก...แววตาที่กำลังบอกว่าคราวหน้าผมจะขอร้องให้เพื่อนคนอื่น ๆ ชวนเขาเล่นด้วยแน่นอน!!
"นี่คำนับ...เธอช้าเป็นเต่าอีกแล้วนะ" เสียงแป้งตะโกนเรียก
๑๔.พลังอำนาจพิเศษของเด็กน้อย
ภูเขาลูกนั้นนอนทอดทิวยาวอยู่เบื้องหน้าของผม.....
เสียงคำรามและจังหวะการสั่นไหวเป็นระยะ ๆ บอกให้รู้ว่ามันเป็นภูเขาไฟที่พร้อมจะปะทุได้ทุกเมื่อ...หลายคนอาจจะครั่นคร้ามที่จะเผชิญหน้ากับมัน...แต่สำหรับผม...ผมจะพิชิตเขาลูกนี้ให้ได้!!
ผมเริ่มปีนขึ้นไปจากทางตีนเขา ต้นไม้ต้นหญ้าที่ขึ้นอยู่จนรกทำให้ผมรู้สึกระคายเนื้อตัว...พวกมันหงิกงอและมีสีดำสนิท...บางทีอาจเพราะถูกละอองฝุ่นและขี้เถ้าปกคลุมเป็นเวลานานก็ได้
ภูเขาสั่นสะเทือนมากขึ้น แรงของมันเกือบจะทำให้ร่างน้อย ๆ ของผมพลัดตกลงมาอยู่หลายครั้ง...ดีนะที่ผมมีมือซึ่งเหนียวพอ ๆ กับเท้าของจิ้งจก ไม่งั้นล่ะแย่แน่!!
ผมยังคงไต่ขึ้นไปเรื่อย ๆ สูงขึ้นและสูงขึ้น จนได้ยินเสียงคำรามที่ดังชัดเจนกว่าตอนแรก ในที่สุดผมก็พาตัวเองมาถึงปากปล่องของภูเขาไฟจนได้
ที่บริเวณปากปล่องภูเขาไฟ ผมสังเกตเห็นต้นหญ้าแข็งสีดำต้นเล็ก ๆ ขึ้นอยู่หร็อมแหร็มโดยรอบ เหนือปากปล่องขึ้นไปไม่ไกลนักมีถ้ำเล็ก ๆ อีกสองถ้ำปรากฏอยู่...และมันจะเป็นเป้าหมายต่อไปของผมหลังจากที่เป้าหมายแรกถูกสำรวจเสร็จแล้ว...ผมค่อย ๆ เอื้อมมือเข้าไปสัมผัสกับปากปล่องภูเขาไฟอย่างช้า ๆ ตอนนี้หัวใจดวงน้อยเริ่มเต้นโครมครามไร้จังหวะ
ภูเขาไฟขยับตัวสั่นไหวแรงขึ้นกว่าเดิมอีกหลายเท่า จู่ ๆ ก็ลืมตาที่อยู่เหนือถ้ำเล็ก ๆ ทั้งสองขึ้นมา ชั่วครู่ผมก็รู้สึกเหมือนมีมือขนาดยักษ์มาโอบร่างกายเอาไว้ พลันปากปล่องของภูเขาไฟก็ขยับก่อนจะแผดเสียงดังที่มิใช่เสียงคำรามออกมา
"นี่ลูก!! มาแอบปีนตัวพ่อตอนนอนหลับตั้งแต่เมื่อไหร่กันเนี่ย"
๑๓.ไข่ตุ๋นของย่า
"คำนับเอ้ย! มากินข้าวก่อนลูก เดี๋ยวค่อยไปเล่นใหม่"
เสียงเรียกของ ย่า หยุดผมจากการเล่นกับตุ๊กตาทหารที่ขาซ้ายด้วนเพราะซุ่มซ่ามไปเหยียบเอากับระเบิดของข้าศึกเข้า(จริง ๆ แล้วผมทำขาของมันหักไปเมื่อไม่นานมานี้)
ผมและทหารขาด้วนค่อย ๆ ย่องมาชะเง้อมองสำรับกับข้าวที่ย่ากำลังบรรจงวางมันลงอย่างช้า ๆ ภายในสำรับมีข้าวสวยกรุ่นร้อนหนึ่งจานและ ไข่ตุ๋น หน้าตาสะอาดขาวผ่องอีกหนึ่งถ้วย...ทันทีที่รู้ว่าอะไรอยู่ในสำรับนั้น ผมก็เริ่มฟูมฟายเขวี้ยงตุ๊กตาทหารกล้าลงไปคุดคู้อยู่ในถ้วยไข่ตุ๋น
"ไม่กิน...ผมไม่อยากกินข้าว...ผมเบื่อไข่ตุ๋น...ย่าได้ยินมั้ย...ผมเบื่อไข่ตุ๋น...ผมเบื่อย่า"
วันอาทิตย์ที่ ๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๑
๑๒.บันทึกแห่งความทรงจำ
กล้องถ่ายรูป ในมือของพ่อถูกยกขึ้นมาอยู่ในท่าเตรียมพร้อม พ่อไม่เคยถ่ายรูปมาก่อน นี่เป็นครั้งแรก...
มือทั้งคู่ที่ช่วยกันประคองกล้องเอาไว้สั่นเล็กน้อย พ่อมีท่าทางตื่นเต้นทั้ง ๆ ที่พ่อพยายามเก็บงำอาการเอาไว้...ทว่ามันคงล้นออกมา
"เอาล่ะนะ..ยิ้มนะ..หนึ่ง...สอง...สาม" พ่อกำลังส่งสัญญาณเพื่อบอกอะไรบางอย่าง
"แชะ"
๑๑.ศึกแมลงสาบ
คงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ในชีวิตของคนเราจะเกิดความกลัวในอะไรขึ้นมาสักเรื่องหนึ่ง...แต่ที่น่าแปลกก็คือ การพยายามเก็บงำความกลัวนั้นเอาไว้ในจิตใจ โดยไม่เปิดเผยออกมาให้ใครได้รับรู้...อาว์ !! มันช่างเป็นเรื่องที่น่าอึดอัดเสียนี่กระไร...
๑๐.นักร้องเสียงน้ำค้าง
ในเช้าของวันที่อากาศแสนดีวันหนึ่ง.....
ผมมีโอกาสได้ทักทายกับเจ้า จิ้งหรีด ตัวน้อย หนึ่งในนักร้องผู้ขับขานเสียงเพลงกล่อมมวลหมู่ธรรมชาติ...เสียงของมันนั้นช่างไพเราะจับใจ ใครก็ตามที่หลงใหลในความเงียบสงบ หากได้ยินเสียงเพลงที่จิ้งหรีดร้องแทรกขึ้นมา แทนที่จะหงุดหงิด กลับต้องพริ้มตาปล่อยจิตใจให้เคลิบเคลิ้มไปกับบทเพลง...บทเพลงที่กลมกลืนและสอดประสานไปกับความเงียบสงบอย่างลงตัว...อาว์...สุขจริงหนอ...สุขจริงหนอ !!
"ทำไมเธอถึงร้องเพลงได้ไพเราะนักเล่า ?" ผมถามตามประสาเด็กอยากรู้
"อืม...เออ...นั่นอาจเป็นเพราะฉันกินน้ำค้างยามเช้าทุกวันกระมัง" จิ้งหรีดตอบ แต่ดูมันไม่ค่อยมั่นใจในคำตอบของตัวเองสักเท่าไหร่
"งั้นที่พ่อของฉันร้องเพลงได้ไพเราะ พ่อก็คงแอบมากินน้ำค้างตอนเช้า ๆ เหมือนกับเธอน่ะสิ"
ผมรู้สึกกระหยิ่มอยู่ในใจที่แอบรู้ความลับประการหนึ่งของพ่อเข้าให้แล้ว !!
๙.ความหวังดีของไม้บรรทัดและเด็กผู้หญิงผมเปีย
บางครั้งคำว่า 'ความหวังดี' ก็ทำให้อะไร ๆ ดูแย่ลงกว่าที่คิด.....
หลังจากจบชั้นอนุบาล ผมก็ต้องย้ายที่เรียนไปยังโรงเรียนแห่งใหม่ซึ่งใหญ่กว่าเดิม ทั้ง ๆ ที่หัวใจดวงน้อยของผมยังคงผูกพันอยู่กับเพื่อน ๆ คุณครู และกลิ่นอายของรั้วอนุบาล...แต่จะทำเช่นไรได้...ก็ในเมื่อโรงเรียนอนุบาลของผม มันไม่มีชั้นประถมนี่นา !!
โรงเรียนใหม่อะไรต่าง ๆ ก็ดูจะใหม่ตามไปด้วย เพราะนอกจากคุณครูกับเพื่อนคนใหม่ ๆ ที่ผมจะได้เจอะเจอแล้ว ยังมีชุดนักเรียน กระเป๋า รองเท้า ถุงเท้า สมุด หนังสือ ดินสอ ยางลบ และไม้บรรทัด ที่ทุกอย่างล้วนใหม่หมด...เสมือนเป็นการต้อนรับ เด็กนักเรียนชั้นประถม ๑ คนใหม่...ใช่แล้ว เด็กชายคำนับ คนนี้นี่เอง
๘.เรื่องเล่าของวิทยุเทป
ตอนผมเด็ก ๆ ด้วยความที่ฐานะทางบ้านค่อนข้างยากจน วิทยุเครื่องเดียวในบ้านจึงเป็นวิทยุทรานซิสเตอร์ รับคลื่นในระบบ AM ขนาดเท่ากล่องจดหมาย ฝาปิดหลังเครื่องพังแล้ว มองเห็นถ่านไฟฉายตรากบสี่ก้อน แต่มันก็ยังฟังเพลงได้เพราะ และฟังนิยายผีตอนกลางคืนได้น่ากลัว...อะจึ๋ยส์ !!
ถัดจากบ้านของผมไปสาม-สี่หลัง เป็นบ้านของครอบครัวนายทหารฐานะดี เขามีลูกชายสองคน พี่คนโตชื่อ เติ้ล อายุราวสิบกว่าขวบ คนน้องชื่อ ตาล อายุเท่ากันกับผม คือประมาณซักเจ็ดหรือแปดขวบในตอนนั้น
พี่น้องสองคนนี้ มักจะมาชวนผมไปเล่นที่บ้านของเขาอยู่บ่อย ๆ และทุกครั้งที่ผมไปเล่นกับพวกเขาสองพี่น้อง ผมก็มักจะโดนแกล้งกลับมาเป็นประจำ...แต่ขอบอก...ผมไม่เคยเข็ด...ผมยังคงชอบไปเล่นที่บ้านพวกเขาอยู่เรื่อย ๆ นั่นเพราะบ้านของลูกคนมีตังค์มักจะมีอะไรแปลก ๆ ให้ดูอยู่เสมอ...ผมคิดตามประสาเด็ก
อย่างหนึ่งที่ผมชอบเวลาไปเล่นที่บ้านเติ้ลกับตาลก็คือ พวกเขามักจะเอาเทปคลาสเซ็ทเพลงใหม่ ๆ โดยเฉพาะเพลงจีนจากหนังทีวีมาเปิดให้ฟัง...ตอนนั้นหนังจีนชุดกำลังภายในกำลังได้รับความนิยมอย่างมากทางสถานีโทรทัศน์ในบ้านเรา ซึ่งรวมไปถึงเพลงจีนซึ่งเป็นส่วนประกอบหนึ่งของหนังด้วย ความนิยมนี้แพร่ระบาดไปทั่วสู่คนทุกเพศทุกวัย ไม่เว้นแม้แต่บรรดาเด็ก ๆ ในระแวกบ้านเดียวกับผม...แน่นอนว่าต้องพ่วงเอาผมเข้าไปด้วยอีกหนึ่งคน
ถัดจากบ้านของผมไปสาม-สี่หลัง เป็นบ้านของครอบครัวนายทหารฐานะดี เขามีลูกชายสองคน พี่คนโตชื่อ เติ้ล อายุราวสิบกว่าขวบ คนน้องชื่อ ตาล อายุเท่ากันกับผม คือประมาณซักเจ็ดหรือแปดขวบในตอนนั้น
พี่น้องสองคนนี้ มักจะมาชวนผมไปเล่นที่บ้านของเขาอยู่บ่อย ๆ และทุกครั้งที่ผมไปเล่นกับพวกเขาสองพี่น้อง ผมก็มักจะโดนแกล้งกลับมาเป็นประจำ...แต่ขอบอก...ผมไม่เคยเข็ด...ผมยังคงชอบไปเล่นที่บ้านพวกเขาอยู่เรื่อย ๆ นั่นเพราะบ้านของลูกคนมีตังค์มักจะมีอะไรแปลก ๆ ให้ดูอยู่เสมอ...ผมคิดตามประสาเด็ก
อย่างหนึ่งที่ผมชอบเวลาไปเล่นที่บ้านเติ้ลกับตาลก็คือ พวกเขามักจะเอาเทปคลาสเซ็ทเพลงใหม่ ๆ โดยเฉพาะเพลงจีนจากหนังทีวีมาเปิดให้ฟัง...ตอนนั้นหนังจีนชุดกำลังภายในกำลังได้รับความนิยมอย่างมากทางสถานีโทรทัศน์ในบ้านเรา ซึ่งรวมไปถึงเพลงจีนซึ่งเป็นส่วนประกอบหนึ่งของหนังด้วย ความนิยมนี้แพร่ระบาดไปทั่วสู่คนทุกเพศทุกวัย ไม่เว้นแม้แต่บรรดาเด็ก ๆ ในระแวกบ้านเดียวกับผม...แน่นอนว่าต้องพ่วงเอาผมเข้าไปด้วยอีกหนึ่งคน
๗.ถุงโชคดี
บางทีเราก็แยกไม่ออกหรอก ระหว่างความบังเอิญกับความโชคดี !!
ใครรู้จัก ถุงโชคดี บ้าง ?
ใช่ครับ...ใช่...ผมหมายถึงถุงกระดาษสีน้ำตาล พิมพ์ลายข้างถุงเป็นรูปตารางหมากรุกสีเขียวหรือสีแดง บางทีก็พิมพ์เป็นรูปหญิงสาวพร้อมกับตัวหนังสือที่เขียนเอาไว้ว่า โชคดี...
ตอนเด็ก ๆ แม่เคยใช้ให้ผมวิ่งไปซื้อถุงโชคดีที่ร้าน โกเต่า หน้าปากซอยเป็นประจำ ราคาตอนนั้นอยู่ที่ใบละห้าสิบสตางค์ ต่อมาปรับราคาเป็นหนึ่งบาท และหนึ่งบาทห้าสิบสตางค์ ตามลำดับ(ราคาถูกปรับเปลี่ยนไปตามสภาพเศรษฐกิจและอารมณ์ของร้านค้า) ล่าสุดผมซื้อถุงโชคดีในราคาใบละสองบาท และนั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมได้เจอหน้ามัน...เดี๋ยวนี้ไม่รู้ว่าถุงโชคดียังมีขายอยู่อีกหรือเปล่า...หากใครเจอ...ช่วยบอกมันทีว่า...ผมคิดถึงมันเหลือเกิน !!
ใครรู้จัก ถุงโชคดี บ้าง ?
ใช่ครับ...ใช่...ผมหมายถึงถุงกระดาษสีน้ำตาล พิมพ์ลายข้างถุงเป็นรูปตารางหมากรุกสีเขียวหรือสีแดง บางทีก็พิมพ์เป็นรูปหญิงสาวพร้อมกับตัวหนังสือที่เขียนเอาไว้ว่า โชคดี...
ตอนเด็ก ๆ แม่เคยใช้ให้ผมวิ่งไปซื้อถุงโชคดีที่ร้าน โกเต่า หน้าปากซอยเป็นประจำ ราคาตอนนั้นอยู่ที่ใบละห้าสิบสตางค์ ต่อมาปรับราคาเป็นหนึ่งบาท และหนึ่งบาทห้าสิบสตางค์ ตามลำดับ(ราคาถูกปรับเปลี่ยนไปตามสภาพเศรษฐกิจและอารมณ์ของร้านค้า) ล่าสุดผมซื้อถุงโชคดีในราคาใบละสองบาท และนั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมได้เจอหน้ามัน...เดี๋ยวนี้ไม่รู้ว่าถุงโชคดียังมีขายอยู่อีกหรือเปล่า...หากใครเจอ...ช่วยบอกมันทีว่า...ผมคิดถึงมันเหลือเกิน !!
๖.นักล่าแมลงปอ
'แมลงปอ' ฝูงใหญ่ บินฉวัดเฉวียนไปมาอยู่ในอากาศมองดูคล้ายกลุ่มควันหนาทึบ ก่อนจะพุ่งดิ่งเข้าโจมตีใส่ตามร่างกายของผม...ใครเลยจะคาดคิดว่าแมลงปอตัวน้อยที่ดูไม่เป็นพิษเป็นภัย ในยามที่มันรวมตัวกันเพื่อปกป้องชีวิตตัวเองและพวกพ้องจะน่ากลัวไม่แพ้ฝูงผึ้ง !!.....
ในโรงเรียนประถมที่ผมเคยเรียนเมื่อครั้งวัยเด็ก มีทุ่งหญ้าหน้าอาคารเรียนที่กว้างใหญ่เอามาก ๆ.....จริง ๆ แล้วมันก็เป็นแค่สนามฟุตบอลธรรมดา ๆ นี่แหละ...แต่ในความคิดของเด็กขณะนั้น ผมว่ามันช่างดูกว้างเสียจนสุดลูกหูลูกตาทีเดียว
ที่สนามฟุตบอลนี้ ทางโรงเรียนจะปูหญ้าเอาไว้อย่างสวยงาม มีลุงภารโรงคอยดูแลตัดหญ้าให้สั้นเป็นระเบียบอยู่เสมอ...เด็ก ๆ ที่เรียนหนังสืออยู่ที่นี่ล้วนต้องเคยวิ่งเล่นอย่างสนุกสนานบนพรมหญ้าสีเขียวสดด้วยกันทุกคน...แน่นอนว่าในจำนวนเด็กนักเรียนที่วิ่งเล่นอย่างสนุกสนานนั้น...มีผมรวมอยู่ด้วยหนึ่งคน
แม้เท้าเล็ก ๆ หลายร้อยคู่จะทำให้ต้นหญ้าที่ปูเอาไว้มีอันต้องตายลงไปบ้าง แต่มันก็ไม่ได้ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของอาจารย์ใหญ่ผู้ใจดีจืดจางลง
"หญ้าตาย เราก็หาหญ้าผืนใหม่มาลง แต่ถ้าเด็ก ๆ ไม่มีที่วิ่งเล่นนี่สิ เราจะหารอยยิ้มกันได้จากที่ไหน?" อาจารย์ใหญ่กล่าวกับลุงภารโรงเอาไว้อย่างนี้
เชื่อไหมว่าเมื่อโตขึ้น ผมรู้สึกเห็นด้วยกับประโยคนี้ของอาจารย์ใหญ่มาก...ผมเคยเห็นบางโรงเรียนปูสนามหญ้าเอาไว้อย่างสวยงาม แต่ห้ามเด็ก ๆ ลงไปวิ่งเล่นเพราะกลัวหญ้าที่ซื้อมาลงไว้จะตายเสียหมด...ทั้งที่จริงเงินค่าหญ้าแต่ละตารางเมตร ก็มาจากเงินค่าเทอมของเด็ก ๆ นั่นแหละ...อันนี้ผมเดาเอาเอง !!
แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าอาจารย์ใหญ่อยากจะเห็นนักเรียนของท่านลงไปวิ่งเล่นในสนามทุกวัน...ทุกอย่างบางทีก็ต้องมีข้อยกเว้น
วันเสาร์ที่ ๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๑
๕.ปีศาจที่อยู่นอกหน้าต่าง
ความมืดที่โรยตัวปกคลุมทุกพื้นที่ในยามค่ำคืน ขนาดผู้ใหญ่หัวใจสิงห์บางครั้งยังอดหวั่นไหวมิได้ แล้วประสาอะไรกับเด็กตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง.....
บ้านที่ผมเคยอาศัยอยู่ในช่วงชีวิตวัยเด็กนั้น อยู่ลึกเข้าไปในสวนผลไม้ซึ่งมีอยู่หลากหลายชนิด(ปัจจุบันสวนผลไม้ไม่มีให้เห็นแล้ว เพราะว่าถูกอาคารพาณิชย์และบ้านทรงแปลก ๆ เข้ายึดพื้นที่เต็มไปหมด) มันเป็นบ้านไม้ชั้นเดียวหลังเล็ก ๆ ที่พ่อเช่ามาจากคุณยายคนหนึ่ง ปัจจุบันถ้าคุณยายเจ้าของบ้านเช่าผู้นี้ยังมีชีวิตอยู่ อายุของแกคงปาเข้าไปร้อยกว่าปี...น่าเสียดายคุณยายคงไม่อยากอายุยืนขนาดนั้น...สักวันผมอาจจะเล่าถึงคุณยายคนนี้ก็ได้
บ้านหลังนี้มีทั้งหมดสามห้อง...เป็นห้องน้ำหนึ่งห้อง(อยู่แยกจากตัวบ้าน) ห้องครัวหนึ่งห้อง(ที่ผมเคยก่อวีรกรรมเอาไว้เมื่อตอนที่แล้ว) และห้องอเนกประสงค์อีกหนึ่งห้อง...ซึ่งจุดเริ่มต้นของ โลกใบเด็ก ในตอนนี้ของผม มันจะเริ่มขึ้นที่ห้องนี้แหละครับ !!
๔.คำเชิญชวนของไม้ขีดไฟ
แสงสว่างที่เกิดจากปลายหัวไม้ขีดไฟเพียงหนึ่งก้าน อาจเป็นประกายไฟเริ่มต้นแห่งการเรียนรู้ที่มากมายของเด็กคนหนึ่ง...ว่าแต่...เขาได้เริ่มต้นเรียนรู้อะไรจากมัน.....
ในปีพุทธศักราชที่ เทคโนโลยี่ ช่วยให้คนเรารู้จักกับคำว่า ขี้เกียจ มากขึ้น(แต่เขามักจะเรียกกันเสียใหม่ว่า ความสะดวกสบาย) คำว่า เตาถ่าน ออกจะดูบรมเชยและถูกเก็บเข้าพิพิธภัณฑ์แห่งความทรงจำของใครบางคนไปเสียแล้ว...นั่นอาจจะรวมถึงผมด้วย
ตอนเด็ก ๆ เวลาที่ผมเดินเข้าไปในครัว ภาพ ๆ หนึ่งที่ผมเห็นจนชินตาก็คือ ภาพของแม่กำลังนั่งก้ม ๆ เงย ๆ ขมีขมันกับการ ติดเตาถ่าน เพื่อหุงข้าว
แม่จะใช้ถ่านไม้แท่งสีดำสนิท 3-4 แท่ง วางเอาไว้ในเตาก่อนจะนำเศษไม้แห้งและ ขี้ไต้ มาเป็นเชื้อเพลิงสำหรับติดไฟ ตอนที่ไฟเริ่มติดจะมีควันโขมงตลบไปทั่วห้องครัว ผมไม่ค่อยชอบช่วงเวลานี้นัก มันทำให้ผมรู้สึกแสบจมูกและสำลัก แต่นั่นก็แค่ครู่เดียวเพราะไม่นานกลุ่มควันก็จะจางหายไปคงเหลือไว้แต่เปลวไฟสีส้มสวยที่โลดแล่นอยู่ในเตาเหมือนคนกำลังเต้นระบำ เวลาที่เห็นผมเข้ามาดูแม่ติดเตาถ่านทีไร แม่มักจะพูดประโยคเดิม ๆ กับผมว่า
"ออกไปก่อนเถอะลูก เอาไว้โตกว่านี้อีกหน่อย แม่จะสอนให้ช่วยติดเตา"...
นั่นคงเป็นเพราะแม่ไม่รู้ว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่ แน่นอนว่าการติดเตาถ่านเป็นสิ่งหนึ่งที่ผมอยากทำ...แต่มันไม่ใช่สิ่งแรกของความต้องการน้อย ๆ...สิ่งแรกเริ่มสำหรับความปรารถนาของ เด็กชายคำนับ ก็คือ การได้ลองจุด ไม้ขีดไฟ ดูสักครั้งหนึ่ง...ใช่แล้ว...เจ้าไม้ขีดไฟกลักเล็ก ๆ นั่น ดูจะท้าทายความต้องการของผมเหลือเกิน...ผมชอบดูแม่จุดไม้ขีดไฟ...
๓.การฆ่าตัวตายของรถสังกะสีไขลาน
นี่เป็นอีกหนึ่งเรื่องราวที่ย้อนกลับไปเมื่อครั้งวัยเด็กของผม...
ผมมีของเล่นอยู่ชิ้นหนึ่ง มันเป็น รถสังกะสีไขลาน คันเล็ก ๆ ที่พ่อซื้อให้ พ่อบอกกับแม่ที่นั่งทำตาเขียวขุ่นว่าเห็นราคามันไม่แพง ก็เลยซื้อมาให้ผมเล่น...
ผมไม่รู้ว่ารถสังกะสีไขลานคันนั้น แท้จริงแล้วราคาเท่าไหร่...แต่ที่รู้ก็คือ มันช่างเป็นของเล่นที่ดูมีค่าและน่ารักสำหรับผมเสียนี่กระไร...จะว่าไปแล้วมันน่ารักพอ ๆ กับพ่อของผมทีเดียว!!
นอกจากการไขลานแล้วปล่อยให้มันวิ่งไปเรื่อย ๆ จนลานหมดแล้ว ผมยังมีวิธีเล่นสนุกกับเจ้ารถสังกะสีคันนี้อีกหลายวิธี...วิธีที่สนุกกว่าการไขลานเป็นไหน ๆ...ขึ้นอยู่กับว่าจะคิดวิธีเล่นแบบไหนได้(พวกผู้ใหญ่มักจะเรียกวิธีคิดของเด็ก ๆ ให้ดูสวยหรูว่า จินตนาการ)
ผมอาจจะชูรถสังกะสีเอาไว้ในมือ แล้ววิ่งไปรอบ ๆ บ้านโดยคิดว่ามันเป็น จรวด ที่เร็วที่สุดในโลก...หรืออย่างน้อยก็เร็วที่สุดในบ้าน
ผมอาจจะหงายท้องมันขึ้น แล้วสมมติให้มันเป็น เรือข้ามฟาก แถวท่าพระจันทร์...ถ้าเรือข้ามฟากมีรูปทรงแบบนี้ คงเท่ห์ดีไม่หยอก
บางทีผมก็เอาเจ้ารถสังกะสีคันน้อยไปเล่นบนกองทรายก่อสร้าง แล้วอุปโลกน์ให้มันเป็น รถบรรทุกดิน คันใหญ่...หรือไม่ก็จับมันมุดลงไปในทรายเพื่อให้มันกลายเป็น ยานสำรวจใต้โลก ที่ดำดินได้ลึกที่สุด...มันดำดินได้ลึกกว่า ขอม แน่นอน...เข้าท่าดีไหมล่ะ?
ผมมีของเล่นอยู่ชิ้นหนึ่ง มันเป็น รถสังกะสีไขลาน คันเล็ก ๆ ที่พ่อซื้อให้ พ่อบอกกับแม่ที่นั่งทำตาเขียวขุ่นว่าเห็นราคามันไม่แพง ก็เลยซื้อมาให้ผมเล่น...
ผมไม่รู้ว่ารถสังกะสีไขลานคันนั้น แท้จริงแล้วราคาเท่าไหร่...แต่ที่รู้ก็คือ มันช่างเป็นของเล่นที่ดูมีค่าและน่ารักสำหรับผมเสียนี่กระไร...จะว่าไปแล้วมันน่ารักพอ ๆ กับพ่อของผมทีเดียว!!
นอกจากการไขลานแล้วปล่อยให้มันวิ่งไปเรื่อย ๆ จนลานหมดแล้ว ผมยังมีวิธีเล่นสนุกกับเจ้ารถสังกะสีคันนี้อีกหลายวิธี...วิธีที่สนุกกว่าการไขลานเป็นไหน ๆ...ขึ้นอยู่กับว่าจะคิดวิธีเล่นแบบไหนได้(พวกผู้ใหญ่มักจะเรียกวิธีคิดของเด็ก ๆ ให้ดูสวยหรูว่า จินตนาการ)
ผมอาจจะชูรถสังกะสีเอาไว้ในมือ แล้ววิ่งไปรอบ ๆ บ้านโดยคิดว่ามันเป็น จรวด ที่เร็วที่สุดในโลก...หรืออย่างน้อยก็เร็วที่สุดในบ้าน
ผมอาจจะหงายท้องมันขึ้น แล้วสมมติให้มันเป็น เรือข้ามฟาก แถวท่าพระจันทร์...ถ้าเรือข้ามฟากมีรูปทรงแบบนี้ คงเท่ห์ดีไม่หยอก
บางทีผมก็เอาเจ้ารถสังกะสีคันน้อยไปเล่นบนกองทรายก่อสร้าง แล้วอุปโลกน์ให้มันเป็น รถบรรทุกดิน คันใหญ่...หรือไม่ก็จับมันมุดลงไปในทรายเพื่อให้มันกลายเป็น ยานสำรวจใต้โลก ที่ดำดินได้ลึกที่สุด...มันดำดินได้ลึกกว่า ขอม แน่นอน...เข้าท่าดีไหมล่ะ?
๒.ระฆังแห่งโรงเรียนอนุบาลมีลำไย
ใครเคยเรียนอนุบาลบ้าง ?...แหม!! ยกมือกันให้พรึ่บ...
โรงเรียนอนุบาล หรือ ปฐมบทแห่งการศึกษาภาคตัวหนังสือ นับเป็นอีกสถานที่หนึ่งซึ่งรวมเรื่องราวมากมายในชีวิตวัยเด็กของใครหลาย ๆ คนเอาไว้...มีเหตุการณ์หลากหลายเกิดขึ้นที่นี่ สุดแท้แต่ใครจะตักตวงความทรงจำเอาไว้ได้มากน้อยแค่ไหน...ผมเองตักตวงความทรงจำจากที่แห่งนี้เอาไว้ได้มากพอสมควร
โรงเรียนอนุบาลของผมมีชื่อว่า โรงเรียนอนุบาลมีลำไย มันตั้งอยู่ใกล้ ๆ กับบ้านของผมนั่นแหละ แม้จะได้ชื่อว่า มีลำไย แต่ผมก็ไม่เคยเห็นต้นลำไยซักต้น...เม็ดที่หล่นอยู่ตามพื้นก็ไม่เคย...ถ้าเป็นมะม่วงล่ะก็...พอจะเห็นอยู่บ้าง!!
โรงเรียนอนุบาล หรือ ปฐมบทแห่งการศึกษาภาคตัวหนังสือ นับเป็นอีกสถานที่หนึ่งซึ่งรวมเรื่องราวมากมายในชีวิตวัยเด็กของใครหลาย ๆ คนเอาไว้...มีเหตุการณ์หลากหลายเกิดขึ้นที่นี่ สุดแท้แต่ใครจะตักตวงความทรงจำเอาไว้ได้มากน้อยแค่ไหน...ผมเองตักตวงความทรงจำจากที่แห่งนี้เอาไว้ได้มากพอสมควร
โรงเรียนอนุบาลของผมมีชื่อว่า โรงเรียนอนุบาลมีลำไย มันตั้งอยู่ใกล้ ๆ กับบ้านของผมนั่นแหละ แม้จะได้ชื่อว่า มีลำไย แต่ผมก็ไม่เคยเห็นต้นลำไยซักต้น...เม็ดที่หล่นอยู่ตามพื้นก็ไม่เคย...ถ้าเป็นมะม่วงล่ะก็...พอจะเห็นอยู่บ้าง!!
๑.ความทรงจำที่ถูกขโมย
ผมเกิดที่ โรงพยาบาลวชิระ แถว ๆ ย่านสะพานซังฮี้ ฝั่งพระนครนั่นแหละครับ
ด้วยความที่ผมลืมตาดูโลกเร็วกว่ากำหนด ผมจึงต้องเข้า ตู้อบ นานกว่าเพื่อน ๆ ที่เกิดในวันเดียวกันอยู่หลายชั่วโมง…บางกระแสว่าครึ่งวัน…บางกระแสว่าวันหนึ่งเต็ม ๆ…ตัวผมเองยังไม่แจ้งเท่าไรนัก
ผมหย่านมเต้าตอนอายุได้ราวสองขวบ…..ไม่ใช่เพราะเบื่อ แต่เป็นเพราะผมแพ้กลิ่นของ มหาหิงค์ ที่แม่แอบเอามาป้ายที่ป้านนม…จะมีเด็กคนไหนที่ชอบกลิ่นของมหาหิงค์บ้างนะ?
แล้วตอนอายุราวสองขวบอีกเช่นกัน สร้อยคอทองคำหนักหนึ่งสลึงที่แม่ซื้อให้ผมใส่เมื่อคราวอายุครบขวบ ก็มีอันต้องลาจากผมไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ เพราะว่าแม่ต้องขายมันเพื่อนำเงินมาเป็นค่าใช้จ่ายอะไรบางอย่างในครอบครัว เวลานั้นเงินเดือนข้าราชการชั้นผู้น้อยอย่างพ่อดูจะชักหน้าไม่ถึงหลัง…ครอบครัวของเราช่างจนเสียจริง ๆ
ด้วยความที่ผมลืมตาดูโลกเร็วกว่ากำหนด ผมจึงต้องเข้า ตู้อบ นานกว่าเพื่อน ๆ ที่เกิดในวันเดียวกันอยู่หลายชั่วโมง…บางกระแสว่าครึ่งวัน…บางกระแสว่าวันหนึ่งเต็ม ๆ…ตัวผมเองยังไม่แจ้งเท่าไรนัก
ผมหย่านมเต้าตอนอายุได้ราวสองขวบ…..ไม่ใช่เพราะเบื่อ แต่เป็นเพราะผมแพ้กลิ่นของ มหาหิงค์ ที่แม่แอบเอามาป้ายที่ป้านนม…จะมีเด็กคนไหนที่ชอบกลิ่นของมหาหิงค์บ้างนะ?
แล้วตอนอายุราวสองขวบอีกเช่นกัน สร้อยคอทองคำหนักหนึ่งสลึงที่แม่ซื้อให้ผมใส่เมื่อคราวอายุครบขวบ ก็มีอันต้องลาจากผมไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ เพราะว่าแม่ต้องขายมันเพื่อนำเงินมาเป็นค่าใช้จ่ายอะไรบางอย่างในครอบครัว เวลานั้นเงินเดือนข้าราชการชั้นผู้น้อยอย่างพ่อดูจะชักหน้าไม่ถึงหลัง…ครอบครัวของเราช่างจนเสียจริง ๆ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)