วันเสาร์ที่ ๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

๒.ระฆังแห่งโรงเรียนอนุบาลมีลำไย

ใครเคยเรียนอนุบาลบ้าง ?...แหม!! ยกมือกันให้พรึ่บ...

โรงเรียนอนุบาล หรือ ปฐมบทแห่งการศึกษาภาคตัวหนังสือ นับเป็นอีกสถานที่หนึ่งซึ่งรวมเรื่องราวมากมายในชีวิตวัยเด็กของใครหลาย ๆ คนเอาไว้...มีเหตุการณ์หลากหลายเกิดขึ้นที่นี่ สุดแท้แต่ใครจะตักตวงความทรงจำเอาไว้ได้มากน้อยแค่ไหน...ผมเองตักตวงความทรงจำจากที่แห่งนี้เอาไว้ได้มากพอสมควร

โรงเรียนอนุบาลของผมมีชื่อว่า โรงเรียนอนุบาลมีลำไย มันตั้งอยู่ใกล้ ๆ กับบ้านของผมนั่นแหละ แม้จะได้ชื่อว่า มีลำไย แต่ผมก็ไม่เคยเห็นต้นลำไยซักต้น...เม็ดที่หล่นอยู่ตามพื้นก็ไม่เคย...ถ้าเป็นมะม่วงล่ะก็...พอจะเห็นอยู่บ้าง!!


ค่าเล่าเรียนขณะนั้น ในยามที่ทองบาทละสี่ร้อย ตกเทอมละร้อยห้าสิบบาท...ถูกหรือเปล่าผมไม่แน่ใจ แต่พ่อกับแม่ก็กัดฟันส่งผมเรียนจนจบ...ผมเคยคิดแบบเด็ก ๆ ว่า เมื่อผมโตและมีเงินมาก ๆ ผมจะตอบแทนพ่อกับแม่โดยการส่งให้ท่านทั้งคู่ได้เรียนหนังสือในระดับที่สูง ๆ กว่าที่เคยเรียนจบออกมา

ครั้งแรกที่ผมได้รู้จักกับโรงเรียนอนุบาลของตัวเอง บอกตามตรงเลยครับว่าผมไม่ค่อยชอบขี้หน้าสถานที่แห่งนี้สักเท่าไหร่ ผมรู้สึกว่ามันเป็นสถานที่ ๆ ทำให้ผมและครอบครัวต้องพลัดพรากจากกัน...แม้จะแค่ช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น

ทุกครั้งที่พ่อหรือแม่มาส่งผมที่โรงเรียน ผมมีอันต้องร้องไห้ขอตามพ่อกับแม่กลับบ้านทุกที...เป็นเช่นนี้ทุกวัน...แต่ความพยายามที่จะขอตามพ่อหรือแม่กลับบ้านของเด็กผู้ชายคนหนึ่งไม่เคยสัมฤทธิ์ผล...

ผมรู้ว่าพ่อกับแม่รักผม แต่ผมไม่รู้ว่าทำไมในเวลาแบบนั้นพ่อกับแม่ถึงได้ใจแข็งนักหนา...ใจแข็งพอที่จะทนเห็นลูกของตัวเองโดนฉุดรั้งเอาไว้โดยผู้หญิงคนหนึ่ง คนที่ต่อมาผมต้องเรียกเธอว่า ครู...ที่นี่มีคนที่ผมต้องเรียกว่าครูอยู่หลายคน

จริง ๆ แล้วมันออกจะน่าสนุกทีเดียวสำหรับโรงเรียนอนุบาล เพราะที่นี่มีเด็ก ๆ รุ่นราวคราวเดียวกับผมมากมาย(ซึ่งต่อมาก็คือเพื่อนของผม) และคงจะดีไม่น้อยถ้าพวกเราได้เล่นด้วยกัน...แต่มันคงไม่ใช่ในตอนนี้...ตอนที่ผมรู้สึกเศร้าและโดดเดี่ยวที่สุดในโลก...ผมอยากเล่นสนุกอยู่ที่บ้านมากกว่า แม้จะต้องเล่นคนเดียวก็ตาม

ที่โรงเรียนอนุบาลมีลำไย มี ระฆัง อยู่ใบหนึ่ง มันถูกแขวนเอาไว้หน้าห้องที่พวกครูชอบไปอยู่รวมกัน มันไม่ใช่ระฆังใบใหญ่ แต่เวลาที่มันถูกครูคนหนึ่ง เคาะ มันจะส่งเสียงดังจนสามารถได้ยินไปทั่วบริเวณโรงเรียน...ครูคนที่ชอบเคาะระฆังใบนี้ ใคร ๆ พากันเรียกเธอว่า ครูใหญ่ ทั้ง ๆ ที่เธอเป็นแค่หญิงชราตัวเล็ก ๆ

เสียงระฆังเป็นสัญญาณบอกอะไรหลายอย่าง มันบอกว่าหลังจากที่พวกเด็ก ๆ ต้องพลัดพรากจากพ่อแม่ในตอนเช้าแล้ว ทุกคนจะต้องไปยืนเข้าแถวหน้าเสาธงเพื่อร้องเพลงชาติ บอกว่าถึงเวลาที่จะต้องเปลี่ยนหน้าครูที่มาสอนหนังสือ บอกว่าถึงเวลาพักกินขนม พักกินข้าว เวลานอนกลางวัน และที่สำคัญ มันจะบอกว่าถึงเวลากลับบ้านแล้วในตอนเย็น...นั่นล่ะ ผมว่ามันเป็นช่วงเวลาที่เสียงระฆังใบนี้ไพเราะที่สุด

ทุกวันก่อนถึงเวลากลับบ้านและก่อนที่ระฆังจะส่งเสียงประมาณหนึ่งชั่วโมง จะเป็นช่วงเวลาที่เด็กแต่ละคนจะทำอะไรก็ได้ แต่นั่นต้องหลังจากที่ทุกคนได้ล้างหน้าปะแป้งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ใครจะเล่นก็ได้ จะกินขนมก็ได้ แต่ต้องกลับมาเข้าห้องเรียนเมื่อระฆังดังขึ้น เพื่อรอพ่อแม่ของแต่ละคนมารับกลับบ้าน

สำหรับผม...ทุกวันผมชอบมานั่งที่เก้าอี้ม้าหินซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามกับระฆังใบนั้น พลางแหงนหน้าขึ้นมองมันพร้อมกับคำถามในใจว่า ‘เมื่อไหร่แกจะดังสักที’...และเหมือนเจ้าระฆังจะอ่านความในใจของผมออก วันหนึ่งมันจึงเอ่ยกับผมขึ้นมาว่า

“นี่แน่ะพ่อหนูน้อย เธอมานั่งจ้องหน้าฉันทำไมทุกวัน ๆ ไม่รู้สึกเบื่อบ้างรึ ?”

“ฉันก็แค่รอว่าเมื่อไหร่เธอจะดังสักทีน่ะสิ” ผมตอบ รู้สึกอายนิดหน่อยที่ถูกระฆังถามแบบนั้น

“การรอคอยทำให้เรารู้สึกว่าอะไร ๆ มันเนิ่นนานนะพ่อหนูน้อย ถ้าเธอทำลืม ๆ ไปเสียบ้างแล้วออกไปวิ่งเล่นกับเพื่อนคนอื่น ๆ เผลอแวบเดียวเดี๋ยวก็จะได้ยินเสียงของฉันแล้ว เพราะฉันดังเป็นเวลาเสมอ” ระฆังว่า

“ก็แล้วทำไมเธอไม่ดังให้มันเร็วขึ้นสักหน่อยล่ะ ฉันอยากกลับบ้าน ฉันคิดถึงพ่อกับแม่” ผมเริ่มสะอึกสะอื้นและมีน้ำตาเอ่อออกมาจนจะล้นขอบตา

“หยุดทำท่าเหมือนว่าจะร้องไห้ซะที ฉันเห็นเด็กแบบเธอร้องไห้มามากแล้ว มันทำให้ฉันไม่อยากส่งเสียง รู้อะไรไหมพ่อหนูน้อย ฉันเห็นเธอร้องไห้ทุกวันเวลาที่พ่อกับแม่มาส่งเธอที่โรงเรียน ฉันไม่เข้าใจเลยว่าเธอร้องไห้ทำไม ทั้ง ๆ ที่การได้เรียนหนังสือของเธอจะเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้พ่อกับแม่ของเธอยิ้มอย่างมีความสุข และการที่พ่อกับแม่ของเธอได้เห็นเธอกลับบ้านไปอย่างมีความรู้ท่านก็จะมีความสุขมากขึ้นไปอีก”

ระฆังหยุดพูดชั่วครู่ มันแกว่งตุ้มของตัวเองเล่นตามแรงลมอ่อน ๆ ก่อนจะกล่าวต่อว่า

“ฉันเชื่อว่าพ่อกับแม่ของเธอก็รอคอยเวลาที่จะมารับเธอกลับบ้านอย่างใจจดใจจ่อเช่นเดียวกัน รอคอยว่าวันนี้ลูกชายสุดที่รักจะได้เรียนรู้อะไรไปบ้าง บางทีทั้งสองคนอาจทุกข์ใจมากกว่าเธออีกเป็นร้อยเท่า แต่ก็แกล้งพยายามทำใจให้ลืมเวลาไปเสีย เพื่อที่เวลาซึ่งถูกลืมไปจะได้เขยิบขึ้นมาให้เร็วขึ้น”

“เธอว่าพ่อกับแม่ของฉันคิดอย่างนั้นจริง ๆ หรือ ?” ตอนนี้น้ำตาของผมที่ทำท่าว่าจะทะลักออกมามันแห้งไปหมดแล้ว

“มันต้องเป็นแบบนั้นแน่นอนอยู่แล้วพ่อหนูน้อย ดังนั้นเธอเองก็ควรทำตัวให้ลืมเวลาเสียบ้างโดยการตั้งใจเรียนเมื่อถึงเวลาเรียน เล่นกับเพื่อนเมื่อถึงเวลาเล่น แล้วเธอจะพบว่าเวลาที่เธอรอคอยนั้นมันช่างรวดเร็วเหลือเกิน” ระฆังว่าพลางฮัมเพลงออกมา

ผมจำเนื้อตอนต้น ๆ ที่เขาฮัมออกมาได้นิดหน่อย เนื้อเพลงมีอยู่ว่า

“เด็กเอ๋ยเด็กดี ต้องมีหน้าที่สิบอย่างด้วยกัน...”

หลังจากที่ผมได้คุยกับระฆังในวันนั้นแล้ว ผมก็ไม่เคยร้องไห้เวลาที่พ่อกับแม่มาส่งที่โรงเรียนอีกเลย ผมเรียนหนังสือและเล่นกับเพื่อน ๆ ไปตามประสาเด็ก...เผลอแผล็บเดียวระฆังก็ดังบอกเวลากลับบ้าน...เป็นเช่นนี้เรื่อยมาจนผมจบอนุบาล

ตอนนี้ผมไม่รู้ว่าระฆังแห่งโรงเรียนอนุบาลมีลำไยใบนั้นจะยังอยู่หรือไม่ แต่เสียงดังของมันยังก้องอยู่ในความทรงจำของผมเสมอ

เก๊ง ๆ ๆ


เกี่ยวกับเรื่อง :

เรื่องของ อนุบาลมีลำไย ที่ผมเรียน มีอยู่จริง

เรื่องของ ระฆัง ที่ส่งเสียงดัง ก็มีอยู่จริงเช่นกัน แต่มันพูดไม่ได้และก็ไม่ได้พูดกับผม...คนที่พูดกับผมคือ ครูใหญ่ หญิงชราคนนั้นต่างหาก

1 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

อนุบาลมีลำใยยังดำเนินงานอย่ หญิงชราคนนนั้นไม่แน่ใจว่าใช่หญิงชราคนนี้หรือเปล่า