วันเสาร์ที่ ๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

๕.ปีศาจที่อยู่นอกหน้าต่าง


ความมืดที่โรยตัวปกคลุมทุกพื้นที่ในยามค่ำคืน ขนาดผู้ใหญ่หัวใจสิงห์บางครั้งยังอดหวั่นไหวมิได้ แล้วประสาอะไรกับเด็กตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง.....


บ้านที่ผมเคยอาศัยอยู่ในช่วงชีวิตวัยเด็กนั้น อยู่ลึกเข้าไปในสวนผลไม้ซึ่งมีอยู่หลากหลายชนิด(ปัจจุบันสวนผลไม้ไม่มีให้เห็นแล้ว เพราะว่าถูกอาคารพาณิชย์และบ้านทรงแปลก ๆ เข้ายึดพื้นที่เต็มไปหมด) มันเป็นบ้านไม้ชั้นเดียวหลังเล็ก ๆ ที่พ่อเช่ามาจากคุณยายคนหนึ่ง ปัจจุบันถ้าคุณยายเจ้าของบ้านเช่าผู้นี้ยังมีชีวิตอยู่ อายุของแกคงปาเข้าไปร้อยกว่าปี...น่าเสียดายคุณยายคงไม่อยากอายุยืนขนาดนั้น...สักวันผมอาจจะเล่าถึงคุณยายคนนี้ก็ได้

บ้านหลังนี้มีทั้งหมดสามห้อง...เป็นห้องน้ำหนึ่งห้อง(อยู่แยกจากตัวบ้าน) ห้องครัวหนึ่งห้อง(ที่ผมเคยก่อวีรกรรมเอาไว้เมื่อตอนที่แล้ว) และห้องอเนกประสงค์อีกหนึ่งห้อง...ซึ่งจุดเริ่มต้นของ โลกใบเด็ก ในตอนนี้ของผม มันจะเริ่มขึ้นที่ห้องนี้แหละครับ !!


ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า ห้องอเนกประสงค์ ดังนั้นห้องนี้จึงเป็นห้องที่สามารถใช้งานได้หลากหลาย ขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้อยู่อาศัยว่าจะให้มันเป็นห้องอะไร...มันอาจเป็นห้องประชุม(ของสมาชิกในครอบครัว) เป็นห้องนั่งเล่นพักผ่อน เป็นห้องรับแขก ห้องรับประทานอาหาร ซึ่งรวมไปถึงเป็นห้องนอนด้วย...โชคดีที่บ้านหลังนี้มีห้องน้ำอยู่แล้ว ไม่งั้นเราคงได้ใช้ประโยชน์จากห้องอเนกประสงค์เพิ่มขึ้น

แม้ว่าจะสามารถใช้งานได้หลากหลาย แต่วัตถุประสงค์หลักของครอบครัวผมสำหรับห้องนี้ก็คือ การใช้มันเป็นห้องนอน...นั่นย่อมต้องดีกว่าไปนอนในครัวหรือในห้องน้ำ...ว่าไหม ?

เมื่อถึงเวลาเข้านอนแม่ก็จะลาก ที่นอน หมอน มุ้ง ซึ่งพับเก็บเอาไว้อย่างเป็นระเบียบที่มุมใดมุมหนึ่งออกมาปูกลางห้อง พอเช้าก็พับและจัดเก็บเข้าที่เดิมเพื่อไม่ให้เกะกะพื้นที่ใช้สอยในด้านอื่น ๆ และ ไม่เสียคอนเซ็ป ของห้องอเนกประสงค์

พูดถึงการปูที่นอน สำหรับผมในวัยเด็กถือว่าเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขช่วงหนึ่งทีเดียว เพราะพอแม่ลากที่นอนออกมาปูทีไร ผมมักจะเล่นสนุกด้วยการกระโดดขึ้นไปคลุกอยู่บนกองผ้าห่มและหมอน ยิ่งถ้าเป็นในช่วงหน้าหนาวมันจะให้ความรู้สึกที่อบอุ่นเป็นพิเศษ(ก่อนนั้นเมืองหลวงยังหนาวไม่แพ้ต่างจังหวัด)...เดี๋ยวนี้จะทวนเข็มนาฬิกากลับไปทำแบบเก่า ความรู้สึกก็คงจะไม่เหมือนก่อนเสียแล้ว...ก็ตัวเรามันโตขึ้นนี่นา!!

หลังจากที่แม่ปูที่นอนเสร็จและช่วงเวลาแห่งความสนุกสนานบนกองหมอนกับผ้าห่มหมดไป การเข้านอนดูจะเป็นอะไรที่เลวร้ายสำหรับเด็กชายตัวน้อยอย่างผมเสียเหลือเกิน

ทุกครั้งที่แสงไฟถูกดับลงและห้องทั้งห้องมืดสนิท หัวใจดวงนิดของผมมันดังกับว่าถูกย่อให้เล็กลงเข้าไปอีก ความมืดทำให้ผมรู้สึกกลัว...กลัวอะไรบางอย่าง...ทั้ง ๆ ที่ผมนอนคั่นกลางระหว่างแม่กับพ่อซึ่งเป็นเหมือนเกราะคุ้มกันภัยชั้นดี แต่ผมก็ยังรู้สึกกลัวอยู่ดี...โดยเฉพาะในยามที่เกราะทั้งสองหลับไปก่อนผม !!

ด้วยเหตุนี้กระมังครับ ตอนเด็ก ๆ ผมถึงไม่ค่อยอยากจะเข้านอน แต่พ่อชอบบอกว่าเป็นเด็กถ้าไม่รีบนอนตั้งแต่หัวค่ำ ปีศาจร้ายที่อยู่นอกบ้านจะมาเอาตัวไปอยู่ด้วย...ซึ่งคำบอกเล่าของพ่อไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นมาเลย...ตรงข้าม...มันยิ่งทำให้ผมนอนไม่หลับหนักเข้าไปอีก

เวลานอนเราสามคน พ่อ แม่ ลูก จะหันศีรษะเข้าข้างฝาและหันปลายเท้าไปทางหน้าต่างสองบานที่เปิดออกเพื่อรับลม เว้นเสียแต่ว่าวันไหนฝนตกหนักพ่อก็จะลุกขึ้นมาปิดหน้าต่างสักที

ด้านที่ผมหันปลายเท้าให้นี้เป็นด้านเดียวกับสวนผลไม้ ซึ่งถ้ามองผ่านหน้าต่างทั้งสองบานในตอนกลางวันจะเห็นต้นไม้ครึ้มเขียวจนน่าจะเรียกว่าป่ามากกว่าสวน แต่ในยามกลางคืนข้างนอกนั่นมืดเสียจนมองอะไรแทบไม่เห็นนอกจากเงาบางสิ่งบางอย่างที่โยกไหวไปมา...บางทีมันอาจเป็นเงาของปีศาจร้ายที่กำลังกวักมือเรียกเด็กที่ไม่ยอมนอนอยู่ก็ได้...ผมไม่อยากคิดเลยจริง ๆ...ฝนน่าจะตกหนักทุกวันพ่อจะได้ไม่ต้องเปิดหน้าต่างนอน

คืนไหนที่ผมนอนไม่หลับ ผมมักจะได้ยินเสียงประหลาด ๆ เสมอ แน่นอนว่ามันไม่ใช่เสียงกรนของพ่อและก็ไม่ใช่เสียงของพวกแมลงกลางคืน เสียงมันคล้ายกับว่าใครกำลังเอาเล็บอันแหลมคมและใหญ่โตมาเกาที่หลังคาบ้าน บางครั้งก็เหมือนมีเสียงร้องเรียกชื่อผมแว่วมาแต่ไกล ๆ หรือกำลังหัวเราะเยาะอะไรบางอย่างอยู่ที่นอกหน้าต่างนั่น...ผมได้แต่หลับตาปี๋ ไม่กล้าแม้แต่จะเผยอเปลือกตาขึ้นดู...สิ่งที่ทำได้ขณะนั้นคือการหันไปซุกอกแม่หรือพ่อเอามือปิดหูไว้แล้วพยายามหลับให้เร็วที่สุด...บางคืนผมหลับไปทั้ง ๆ ที่ความกลัวยังเกาะกุมความรู้สึกอยู่


คืนหนึ่ง...

พ่อกับแม่ของผมหลับไปนานแล้ว ส่วนผมกำลังพยายามที่จะนอนให้หลับอย่างเต็มความสามารถ แต่แล้วหูของผมก็แว่วได้ยินเสียงประหลาดที่ว่านั่นอีก คราวนี้มันดังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ...ใกล้เข้ามาจนชิดติดขอบหน้าต่าง...ใกล้จนรู้สึกว่าถ้าผมลืมตาขึ้นมาอาจจะเห็นอะไรบางอย่างได้ชัดเจนเมื่อมองผ่านกรอบหน้าต่างออกไป...ผมรู้สึกหนาวจนขนลุกทั้ง ๆ ที่นอนห่มผ้าจนเกือบจะคลุมโปง

ทันใดนั้น จู่ ๆ ก็เหมือนมีมือขนาดมหึมาเอื้อมผ่านหน้าต่างเข้ามา เปิดมุ้งที่ผมนอนอยู่ออก ก่อนจะตลบผ้าห่มของผมขึ้นแล้วม้วนเอาตัวผมเข้าไว้ในวงแขนของมันกระชากเต็มแรงจนผมลอยขึ้นจากที่นอน แล้วมือนั้นก็ลากเอาผมออกไปทางนอกหน้าต่าง...ผมโดนปีศาจเล่นงานแล้ว !!

ผมพยายามร้องให้พ่อกับแม่ช่วย แต่ไม่เป็นผล เพราะเหมือนจะไม่มีใครได้ยินเสียงของผมเลย...พ่อจ๋าแม่จ๋าลูกแย่แน่คราวนี้

พอพ้นหน้าต่างออกมามือมหึมานั้นก็ทิ้งผมลงกับพื้นดินเสียงดังตุบ ผมรู้สึกปวดร้าวไปหมดทั้งตัวแต่ยังน้อยกว่าความกลัวที่วิ่งพล่านไปทั่วหัวใจ ผมคู้กายลงกับพื้นร้องไห้ออกมาเสียงดังเพียงหวังว่าพ่อกับแม่หรือใครก็ได้ในเวลานี้ที่จะได้ยินเสียงของผม...ทว่าเสียงนั้นกลับถูกกลืนหายไปอย่างไร้เหตุผล

พลันผมก็รู้สึกว่าร่างกายถูกสะกิดด้วยมือมหึมาอีกครั้ง คราวนี้แผ่วเบากว่าตอนที่มันกระชากผมออกมาจากบ้าน แล้วเสียงหนึ่งก็พูดขึ้นมาว่า

"หยุดร้องไห้และระงับความกลัวก่อนเถิดพ่อหนูน้อย แล้วค่อย ๆ มองฉันฝ่าความมืดดูสิ แล้วเธอจะรู้ว่าฉันเป็นใคร" เป็นเสียงของเจ้าของมือมหึมานั่น

ผมหยุดร้องไห้คงไว้แต่เสียงสะอึกสะอื้นเป็นพัก ๆ อย่างไรก็ตามผมยังกลัวอยู่ดี แต่เสียงนั้นเหมือนมีอำนาจสั่งการจนผมต้องเพ่งมองฝ่าความมืดไปเบื้องหน้าตามที่มันบอก...แล้วผมก็เห็น !!

แม้ในความมืดจะมองอะไรได้ไม่ชัดเจนนัก แต่ผมก็พอจะรับรู้ได้ว่าเจ้าของเสียงและเจ้าของมือมหึมาที่บัดนี้ยืนตระหง่านอยู่เบื้องหน้าของผมนั้น มันเป็น ต้นชมพู่ ขนาดใหญ่ซึ่งแผ่กิ่งก้านสาขากว้างเสียจนสามารถบดบังโลกทั้งโลกเอาไว้ได้

ในตอนกลางวัน ต้นชมพู่ต้นนี้เป็นต้นเดียวกับต้นชมพู่ที่ปลูกอยู่ใกล้บ้านของผมที่สุด...ใกล้ขนาดที่ว่ากิ่งก้านของมันบางส่วนยื่นปกคลุมจนเกยหลังคาของบ้าน...แต่ตอนนี้ มันเป็น ต้นชมพู่ปีศาจ

"เธอคงคิดว่าฉันคือปีศาจร้ายล่ะสิพ่อหนูน้อย" ต้นชมพู่พูดขึ้นราวกับว่ามันสามารถเดาใจเด็กตัวน้อยอย่างผมออก

"หรือ...หรือว่าไม่ใช่" ผมถามกลับด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ

"ไม่ใช่หรอกพ่อหนูน้อย...เธอกำลังเข้าใจผิด...เพราะแท้จริงฉันก็เป็นเพียงต้นชมพู่ธรรมดา ๆ ต้นหนึ่งที่ยืนอยู่คู่บ้านหลังนี้มานานหลายสิบปี หาใช่ปีศาจร้ายไม่...นั่นย่อมหมายถึงต้นไม้ทุกต้นในสวนแห่งนี้ด้วยเช่นกัน ไม่มีใครเป็นปีศาจร้ายทั้งนั้น...ในสวนแห่งนี้ไม่มีปีศาจ" ต้นชมพู่พูดเสร็จก็โยกตัวไปมา บรรดาใบใหญ่น้อยของมันยามต้องลมส่งเสียงดังซู่ ๆ

"ก็แล้วอะไรประหลาด ๆ ที่ฉันเห็นเวลามองออกมาจากหน้าต่างเล่า จะอธิบายว่าอย่างไร...ยังมีเสียงเกาหลังคาอีก" ผมเริ่มถามหาความจริง ตอนนี้ความกลัวค่อย ๆ ลดน้อยลงเมื่อรู้ว่าสิ่งที่คุยอยู่กับตัวเองตอนนี้คงจะไม่มีอันตรายและคงไม่มีเจตนาร้าย

"นั่นน่ะรึ ?...นั่นมันเป็นปีศาจที่อยู่ในจิตใจของเธอเองต่างหากเล่าพ่อหนูน้อย...เสียงเกาหลังคาที่เธอว่า ความจริงมันก็คือเสียงกิ่งก้านของฉันเสียดสีกับหลังคาเวลาที่โดนลมพัด ส่วนอ้ายที่เธอเห็นว่าเหมือนกับมีอะไรเคลื่อนไหวอยู่ข้างนอกเวลาที่มองออกมาจากหน้าต่าง แท้จริงก็คือบรรดาเพื่อน ๆ ต้นไม้ของฉันที่กำลังร้องรำทำเพลงกันในยามค่ำคืน...พวกเรากำลังสนุกสนานกันต่างหากล่ะ"

"แต่บางทีก็เหมือนมีใครกำลังเรียกฉันอยู่นี่นา" ผมว่า"

ไม่มีหรอกพ่อหนูน้อย มันเป็นเสียงที่อยู่ในจิตใจของเธอเองกระมัง...จิตใจของเด็กขี้กลัว...กลัวความมืดไง"

คราวนี้ต้นชมพู่โน้มลำต้นลงมาหาผม มันโอบผมไว้ในวงแขนอีกครั้ง(จริง ๆ ต้องบอกว่าผมถูกโอบเอาไว้ด้วยกิ่งชมพู่ใหญ่กิ่งหนึ่ง)

"มากับฉันสิ วันนี้ฉันจะพาเธอไปรู้จักกับเพื่อน ๆ ในสวน...แล้วต่อไปนี้เธอจะได้เลิกกลัวความมืดนอกหน้าต่างเสียที"

คืนนั้นต้นชมพู่พาผมเดินลึกเข้าไปในสวนเพื่อทำความรู้จักกับบรรดาต้นไม้ใหญ่น้อย ต้นไม้ทุกต้นกำลังร้องรำทำเพลงกันอยู่จริง ๆ พวกเขาดูสนุกสนานกันมาก ทุกต้นให้ความเป็นกันเองกับผมราวกับว่ารู้จักกันมานาน...ผมมีความสุขอย่างประหลาด ความกลัวไม่มีเหลือแล้วในจิตใจ...ผมร้องเพลงอยู่ในสวนกับเหล่าต้นไม้จนเกือบเช้า


ตอนเช้าผมตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าตัวเองยังคงนอนอยู่บนที่นอนเช่นทุก ๆ ครั้ง ไม่มีร่องรอยหรืออะไรก็ตามที่บ่งบอกว่าเมื่อคืนมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นกับผม...ผมมองออกไปนอกหน้าต่าง ภาพสวนผลไม้ที่อยู่ข้างนอกนั่นดูสวยงามกว่าทุกวัน และผมเชื่อว่ามันจะสวยงามเช่นนี้ไปอีกนาน...ไม่เว้นแม้แต่ในเวลากลางคืน

"เมื่อคืนลูกของเราคงจะฝันว่าได้เล่นอะไรสนุก ๆ มั้ง ออกท่าออกทางตอนนอนอย่างกับคนละเมอ"

นั่นเป็นเสียงของแม่ที่พูดขึ้นกับพ่อเบา ๆ


เกี่ยวกับเรื่อง :

ตอนเด็ก ๆ ผมกลัวความมืดจริง ๆ กลัวว่าจะมีปีศาจออกมา...เวลากลางคืนผมจึงไม่เคยอยากจะมองออกไปนอกหน้าต่างเลยสักนิด

เรื่องต้นชมพู่ต้นใหญ่ที่อยู่ข้างบ้านเช่าในวัยเด็กของผมนั้นเป็นเรื่องจริง เวลาลมพัดกิ่งก้านของมันจะสีกับหลังคาดังฟังดูน่ากลัว

ส่วนเรื่องต้นชมพู่ทำให้ผมรู้ว่าที่ความมืดข้างนอกหน้าต่างแท้จริงแล้วไม่ได้มีปีศาจอย่างที่ผมคิด เป็นเรื่องโกหก...เพราะเรื่องจริงก็คือ พ่อต่างหากที่อธิบายเรื่องนี้ให้ผมฟัง

ไม่มีความคิดเห็น: