"ใครก็ได้ช่วยฉันที...ฉันติดอยู่ในห้องนี้ ประตูมันเปิดไม่ออก...ช่วยด้วย!!"
ผมตะโกนสุดเสียงด้วยหวังว่าจะมีใครสักคนได้ยินคำร้องขอความช่วยเหลือของผมบ้าง มือเล็ก ๆ ทั้งสองข้างพยายาม 'ดัน' ประตูให้เปิดออกเท่าที่แรงของเด็กคนหนึ่งจะพึงมี เมื่อเห็นว่าการออกแรงดันไม่ได้ผลจึงเปลี่ยนมาเป็นการใช้กำปั้นทุบใส่ประตูแทนจนเสียงดังก้องไปทั่ว ปากก็ยังร้องขอความช่วยเหลือดังลั่น
"นี่ ๆ พ่อหนูน้อย...เบา ๆ หน่อยก็ได้ ฉันเจ็บนะจะบอกให้" ประตูว่า มันคงเหลืออดเต็มทน
"ก็ทำไมฉันเปิดเธอไม่ออกเล่า...เธอแกล้งฉันหรือเปล่า ?" ผมพูดกับประตู แต่มือยังคงระดมกำปั้นใส่มันต่อไป
"นี่ ๆ ช่วยตั้งสติหน่อยเถอะพ่อหนูน้อย...นึกดูดี ๆ ซิว่าตอนเธอเข้ามาน่ะ เธอ 'ผลัก' ฉันเข้ามาใช่ไหม ?...แล้วตอนเธอจะกลับออกไปเธอทำอย่างไรกับฉัน"
คำพูดของประตูทำให้ผมหยุดตะโกนและเลิกทุบกำปั้นใส่มัน แล้วนึกไปถึงตอนที่ผมเข้ามาในห้องนี้ครั้งแรก !!
ผมล่ะเกลียดการ 'เข้าค่ายพักแรม' จริง ๆ
ผมเชื่อว่าทุกคนที่ผ่านชีวิตของการเป็นนักเรียนประถมมาแล้ว จะต้องเคยไปเข้าค่ายพักแรมกับทางโรงเรียนอย่างน้อยที่สุดครั้งหรือสองครั้ง ซึ่งการเข้าค่ายฯ นี้ มักจะอยู่ในหลักสูตรของวิชา 'ลูกเสือ-เนตรนารี'...และนั่นล่ะ!! มันเป็นอีกหนึ่งวิชาเรียนที่ผมไม่คิดจะพิศมัยเอาซะเลย...
ด้วยความที่ผมไม่ชอบวิชาลูกเสือนี่กระมัง มันจึงโยงเหตุผลไปสู่ความจริงที่ว่า 'ผมก็ไม่ชอบการเข้าค่ายพักแรมด้วยเช่นกัน'
การเข้าค่ายพักแรมทำให้ผมต้องระเห็ดไปนอนในสถานที่ ๆ ไม่ใช่บ้านของตัวเอง(แม้มันจะเป็นการเข้าค่ายฯ ที่โรงเรียนซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านของผมนัก) เวลานอนไม่มีพ่อกับแม่นอนขนาบทั้งสองข้าง ต้องกางมุ้งนอนเองทั้ง ๆ ที่ในยามปกติแม่จะเป็นคนจัดการให้ ไม่ได้กินกับข้าวรสมือแม่แถมเลือกอาหารที่อยากกินก็ไม่ได้ ต้องทนใส่เสื้อผ้า(ชุดลูกเสือ)ชุดเดิม ๆ อยู่ตลอดเวลา(ซึ่งอาจรวมถึงกางเกงในด้วย) ยังมีเหตุผลอีกมากมายที่ทำให้ผมไม่ชอบการเข้าค่ายฯ...แต่นั่นแหละครับ...ไม่ว่าจะมีเหตุผลอะไรก็ตาม ผมก็ไม่สามารถปฏิเสธการไปเข้าค่ายฯ ได้...หนึ่ง เพราะมันเป็นหลักสูตรของการเรียนอย่างที่ได้บอกเอาไว้...และสอง มันเป็นเจตนารมณ์ทั้งของพ่อและแม่ที่ต้องการให้ลูกชายซึ่งจะกลายเป็นผู้ใหญ่ในอนาคตได้ไปเรียนรู้อะไรจากโลกภายนอกบ้าง...พ่อกับแม่ไม่รู้หรอกว่า ถึงจะอยู่บ้านผมก็มีเรื่องให้เรียนรู้เยอะแยะ!!
เรื่องร้ายกาจสำหรับผมอีกเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับการเข้าค่ายฯ ก็คือ ผมมีปัญหาเกี่ยวกับการใช้ห้องน้ำ !!?!!
จำได้ว่าตั้งแต่แม่สอนให้ผมรู้จักกับการอาบน้ำด้วยตัวเอง ผมก็อาบน้ำเพียงลำพังคนเดียวมาโดยตลอด...ไม่มีใครมาอาบน้ำพร้อมกับผม...แต่สำหรับการเข้าค่ายฯ ในขณะที่ห้องอาบน้ำมีจำกัดแต่จำนวนนักเรียนกลับมีเกือบครึ่งร้อย บวกกับระยะเวลาในการทำกิจวัตรของเหล่าลูกเสือต้องรวดเร็ว ทำให้ฝูงลูกเสือ(นักเรียน)ต้องมาอาบน้ำพร้อม ๆ กันเพื่อให้ทันตามเวลาที่ถูกกำหนด
รู้อะไรไหมครับ ? นั่นทำให้ผมรู้สึกไม่ดีเลยเวลาที่ต้องแก้ผ้าอาบน้ำรวมกับคนอื่น ถึงแม้อ้ายคนอื่นที่ว่าจะเป็นเพื่อน ๆ ร่วมฝูงลูกเสือก็ตาม...
นอกจากเรื่องของจำนวนห้องอาบน้ำกับจำนวนนักเรียนที่ไม่สมดุลกันแล้ว 'ห้องสุขา' ก็ประสบกับปัญหาแบบเดียวกัน แต่ออกจะเป็นปัญหาที่หนักกว่า...แน่นอนว่าการใช้ห้องสุขาย่อมไม่สามารถจะใช้ได้พร้อมกันหลาย ๆ คน ดังนั้นเมื่อจะใช้ก็ต้องเข้าคิวรอ...อาว์!! เป็นอะไรที่ทรมานชีวิตเด็กเสียจริง ๆ
แต่เมื่อเจอกับปัญหา คนเราก็มักจะเจอหนทางแก้ไขด้วยเช่นกัน(มันใช้ได้กับคนที่ไม่รู้จักคำว่าท้อแท้เสมอ) ผมเองก็มีวิธีแก้ไขปัญหาในเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะการใช้ห้องสุขา...
ผมใช้วิธี 'เก็บกัก' เอาไว้(ถ้านั่นไม่ใช่ระยะจุดระเบิดจริง ๆ ) แล้วเฝ้ารอเวลาที่ค่ายฯ ทั้งค่ายเข้าสู่ความเงียบสงบซึ่งก็หมายถึงเวลาที่เหล่าลูกเสือเข้านอนนั่นเอง...ช่วงนี้จะเป็นช่วงที่ทั้งห้องอาบน้ำและห้องสุขาปลอดคู่แข่งมากที่สุด อาจเป็นเพราะส่วนใหญ่ทุกคนเหน็ดเหนื่อยมาตลอดวันเมื่อหัวถึงหมอนก็หลับสนิท ไม่ค่อยมีใครลุกขึ้นมาใช้บริการห้องอาบน้ำและห้องสุขามากนัก...แต่นอกจากความเหน็ดเหนื่อยแล้ว บางทีที่เหล่าลูกเสือตัวน้อยส่วนใหญ่ไม่ค่อยลุกมาเข้าห้องน้ำกันอาจเป็นเพราะเรื่องราวเกี่ยวกับความเร้นลับบางอย่างที่ซุกซ่อนอยู่ในห้องน้ำซึ่งครูพี่เลี้ยงเล่าให้ฟังก่อนนอนก็เป็นได้...เรื่องของภารโรงคนก่อนที่เป็นลมตายในห้องน้ำ !!
ครูพี่เลี้ยงเล่าว่า เวลากลางคืนมักจะมีคนเห็นวิญญาณของภารโรงคนนี้มาทำความสะอาดห้องน้ำเป็นประจำ ยิ่งถ้าใครทำเสียงดังหรือทำให้ห้องน้ำสกปรก แกก็จะโผล่หน้าออกมาจากฝาผนังหรือไม่ก็ชักโครก แล้วถลึงตาใส่คน ๆ นั้นอย่างน่ากลัว(แต่ผมว่าแค่แกโผล่ขึ้นมาจากชักโครกก็คงน่ากลัวแล้วล่ะ)...นี่กระมังที่ทำให้ไม่ค่อยมีนักเรียนหรือลูกเสือคนไหนกล้ามาใช้ห้องน้ำในตอนดึก ๆ
แต่คงไม่ใช่ผม...ลูกเสือตัวน้อยที่อัดอั้นอะไรเอาไว้มาตลอดวัน...ไม่ใช่ไม่กลัว...แต่สิ่งที่เก็บตุนเอาไว้ใช้เป็นยางลบความกลัวที่ดีทีเดียวสำหรับผมในเรื่องนี้
23.00 น. โดยประมาณ...
ที่ห้องสุขาซึ่งเรียงกันอยู่แปดห้อง...ผมเลือกห้องแรกซึ่งอยู่ใกล้ประตูทางออกมากที่สุด...เผื่อเอาไว้ถ้าเกิดอะไรไม่ชอบมาพากลขึ้นจริง ๆ ตอนนี้บรรยากาศของห้องสุขาช่างเงียบเชียบต่างจากเมื่อช่วงหัวค่ำ...เงียบเสียจนผมขนลุกขึ้นมาเฉย ๆ แต่นึกปลอบใจตัวเองว่าคงเกิดจากอาการมวนในท้องมากกว่า
ถัดจากห้องที่ผมกำลังจะเข้าไปสามห้องมีเสียงคนราดน้ำอยู่ ค่อยรู้สึกใจชื้นขึ้นมาอีกนิดที่รู้ว่าผมไม่ได้อยู่คนเดียว...ผมค่อย ๆ 'ผลัก' ประตูห้องสุขาให้เปิดออกอย่างช้า ๆ ชะโงกหน้าดูก่อนเพื่อความแน่ใจว่าไม่มีอะไรแปลกปลอมอยู่ในนั้น เมื่อเห็นว่าปลอดภัยดีแล้ว(จากอะไรก็ตาม)จึงก้าวขาเข้าไป หันกลับมาปิดประตูลงกลอนและรีบจัดการกับธุระส่วนตัวของตัวเองทันที เมื่อทำธุระส่วนตัวเรียบร้อยแล้ว ผมก็ปลดกลอนและ 'ดัน' ประตูห้องสุขาออกเพื่อที่จะได้กลับไปนอนเสียที...แต่...แต่เหมือนมีใครกำลังเล่นตลกกับผมอยู่....ใครก็ได้ช่วยที!! ผมเปิดประตูห้องสุขาไม่ได้
ผมออกแรงดัน...ดัน...แล้วก็ดัน ประตูก็ไม่มีทีท่าว่าจะถูกเปิดออกหรือขยับเขยื้อนเลยสักนิด...แย่แล้ว...หรือว่าผมโดนผีภารโรงคนก่อนเล่นงานซะแล้ว...ผมหันกลับไปมองชักโครกที่ตัวเองทำธุระเมื่อครู่เพื่อดูว่าทำความสะอาดเรียบร้อยหรือเปล่าเพราะภารโรงคนก่อนไม่ชอบให้ใครทำห้องน้ำสกปรก อีกประการหนึ่งผมต้องการดูให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครโผล่ขึ้นมาจากชักโครกในยามคับขันเช่นนี้...
คำพูดของประตูทำให้ผมเปลี่ยนจากการ 'ดัน'ประตูออก เป็น 'ดึง' เข้าหาตัวสุดแรง...ผลก็คือประตูถูกเปิดผลัวะออกมาจนผมหงายหลังลงไปนั่งกับพื้นห้องสุขา...ความตกใจค่อยคลายลง สติที่กระจัดกระจายเมื่อครู่ก็กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง ผมรีบลุกและออกมาจากห้องสุขาทันที...กวาดสายตาไปทั่วบริเวณ...ห้องสุขาที่มีคนใช้ซึ่งอยู่ถัดจากห้องของผมไปสามห้องนั้น ตอนนี้มันไม่มีคนใช้แล้วเพราะประตูถูกเปิดทิ้งไว้
ผมวิ่งไปดูที่ประตูทางออก ก็เห็นหลังของเด็กนักเรียนคนหนึ่งไว ๆ วิ่งหายไปกับความสลัวของไฟทางเดิน...ผมเข้าใจว่าในระหว่างที่ผมร้องตะโกนขอความช่วยเหลือด้วยความตกใจ...เด็กนักเรียนหรือลูกเสือคนนั้นคงตกใจกว่า !!
รุ่งเช้า ข่าวเรื่องที่มีเด็กนักเรียนคนหนึ่งถูกผีภารโรงคนก่อนหลอกภายในห้องสุขาก็แพร่สะพัดไปทั่วค่ายพักแรม !!
เกี่ยวกับเรื่อง :
ประตูที่เรา 'ผลัก' เข้าไปนั้น เวลาจะกลับออกมาเราต้อง 'ดึง' เข้าหาตัวจึงจะเปิดออก ไม่ใช่ผลักหรือดันออกไปเหมือนตอนเข้าครั้งแรก ยกเว้นประตูที่ว่าจะเป็น 'บานสวิง'
เรื่องที่ผมไปเข้าห้องสุขาตอนเข้าค่ายพักแรมที่โรงเรียน แล้วเปิดประตูไม่ออกด้วยความลนลานของตัวเองนั้น เป็นเรื่องจริง !!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น