วันอาทิตย์ที่ ๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๑
๑๐.นักร้องเสียงน้ำค้าง
ในเช้าของวันที่อากาศแสนดีวันหนึ่ง.....
ผมมีโอกาสได้ทักทายกับเจ้า จิ้งหรีด ตัวน้อย หนึ่งในนักร้องผู้ขับขานเสียงเพลงกล่อมมวลหมู่ธรรมชาติ...เสียงของมันนั้นช่างไพเราะจับใจ ใครก็ตามที่หลงใหลในความเงียบสงบ หากได้ยินเสียงเพลงที่จิ้งหรีดร้องแทรกขึ้นมา แทนที่จะหงุดหงิด กลับต้องพริ้มตาปล่อยจิตใจให้เคลิบเคลิ้มไปกับบทเพลง...บทเพลงที่กลมกลืนและสอดประสานไปกับความเงียบสงบอย่างลงตัว...อาว์...สุขจริงหนอ...สุขจริงหนอ !!
"ทำไมเธอถึงร้องเพลงได้ไพเราะนักเล่า ?" ผมถามตามประสาเด็กอยากรู้
"อืม...เออ...นั่นอาจเป็นเพราะฉันกินน้ำค้างยามเช้าทุกวันกระมัง" จิ้งหรีดตอบ แต่ดูมันไม่ค่อยมั่นใจในคำตอบของตัวเองสักเท่าไหร่
"งั้นที่พ่อของฉันร้องเพลงได้ไพเราะ พ่อก็คงแอบมากินน้ำค้างตอนเช้า ๆ เหมือนกับเธอน่ะสิ"
ผมรู้สึกกระหยิ่มอยู่ในใจที่แอบรู้ความลับประการหนึ่งของพ่อเข้าให้แล้ว !!
ในวัยเด็กของผมนั้น เรื่องหนึ่งที่จดจำได้มาจนถึงทุกวันนี้ก็คือ พ่อของผมเป็นคนชอบร้องเพลง...
พ่อมักจะร้องเพลงทุกครั้งที่พ่ออารมณ์ดี(แต่ผมก็ไม่เคยเห็นพ่ออารมณ์ไม่ดีเลยสักครั้ง) โดยเฉพาะในตอนเช้า ๆ เวลาที่พ่อจะแต่งตัวไปทำงาน ยิ่งตอนพ่อโปะน้ำมันใส่ผมกลิ่นหอมฉุนลงบนเส้นผมจนมันเยิ้ม แล้วค่อย ๆ บรรจงหวีผมจนเรียบแปร้ ระหว่างนี้ล่ะที่พ่อจะร้องเพลงออกมาด้วยท่าทางของคนมีความสุข เวลาพ่อร้องเพลง...พ่อจะร้องด้วยเสียงอันดัง...ดังขนาดที่ว่าเพื่อนบ้านต้องออกมาชะเง้อดูทีเดียวแหละ
สำหรับแม่ของผม...แม้แม่จะออกปากชมอยู่เสมอ ๆ ว่าพ่อเป็นคนร้องเพลงเพราะ...แต่แม่ก็ไม่อยากให้พ่อร้องเพลงเสียงดังขนาดนั้น แม่ว่าแม่อายเพื่อนบ้าน...อาจเป็นเช่นนั้นจริง ๆ เพราะเวลาที่พ่อร้องเพลง แม่มักจะทำหน้าแดงแล้วรีบเดินหลบเข้าไปในครัวทุกทีซิน่า !!
เพลงที่พ่อชอบร้องนั้น จะเป็นเพลง ลูกกรุง ยุคเก่า ๆ สมัยเมื่อครั้งที่พ่อยังเป็นอ้ายหนุ่มรุ่นกระทงอยู่นั่นแหละ...พ่อร้องเพลง(ในยุคของพ่อ)ได้หลายเพลง ซึ่งผมเองไม่รู้หรอกว่าเป็นเพลงอะไรบ้าง แต่ผมแอบเข้าใจแบบเด็ก ๆ ว่าพ่อน่าจะเคยเป็นนักร้องของวงดนตรีใดวงดนตรีหนึ่งมาก่อน...แต่เมื่อลองถามพ่อเข้าจริง ๆ คำตอบที่ได้กลับไม่ใช่อย่างที่คิดเอาไว้...พ่อบอกว่าเมื่อตอนหนุ่ม ๆ พ่อเคยเป็น นักมวย...อ้าว !!
ลูกไม้มักหล่นไม่ไกลต้น ผมเองก็คงเป็นเช่นนั้นเพราะผมอยากที่จะร้องเพลงได้เพราะเหมือนกับพ่อ ที่เหนือไปกว่าพ่อหนึ่งแต้มก็คือผมคิดไปไกลถึงขนาดที่ว่า เมื่อโตขึ้นผมจะกลายเป็น นักร้องเสียงทอง คอยขับขานบทเพลงสร้างความสุขให้กับคนทั่ว ๆ ไป
ด้วยเหตุนี้กระมัง ในวันหนึ่งซึ่งเป็นเวลาก่อนฟ้าใกล้สางเล็กน้อย.....
เมื่อแม่ลุกจากที่นอนเพื่อไปเข้าครัวเตรียมอาหารในตอนเช้า และพ่อก็ลุกตามไปติด ๆ เพื่ออาบน้ำเตรียมตัวไปทำงาน...ผมเองก็ลุกจากที่นอนเหมือนกัน...
ผมค่อย ๆ คลานออกมาจากมุ้งโดยทำตัวให้เหมือนแมวขโมยมากที่สุด ย่องไปที่ประตูปลดกลอนออกเบา ๆ ก่อนจะแอบเล็ดลอดออกไปนอกบ้านด้วยหัวใจที่เต้นรัวเป็นจังหวะดนตรี
เมื่อเห็นว่าพ้นจากตัวบ้านแล้ว ผมก็รีบตรงรี่ไปยัง กอมะลิ ริมรั้วที่แม่ปลูกเอาไว้ทันที...ผมแน่ใจว่าที่นั่นจะต้องมีในสิ่งที่ตัวเองต้องการ...ใช่แล้ว...ผมหมายถึง น้ำค้าง นั่นเอง
ที่กอมะลิริมรั้ว...แม้แสงสว่างของรุ่งอรุณเพิ่งจะเริ่มทำงาน แต่มันก็เพียงพอที่จะทำให้ผมมองเห็นประกายระยิบระยับของเม็ดน้ำค้างที่เกาะพราวอยู่ตามใบของต้นมะลิจนชุ่ม...เมื่อคืนอากาศค่อนข้างเย็น น้ำค้างเลยดูมากมายเป็นพิเศษราวกับหยดน้ำที่เกิดหลังฝนตกใหม่ ๆ
โดยมิรอช้าผมรีบก้มลงจัดการกับน้ำค้างทันที ก่อนที่ไออุ่นแห่งแสงสว่างจะขับไล่เม็ดน้ำค้างไปเสียหมด ยามนั้นหากใครบังเอิญเดินผ่านมา คงจะได้เห็นเงาตะคุ่ม ๆ ของเด็กชายคนหนึ่งที่กำลังก้มลงเลียน้ำค้างที่เกาะอยู่บนใบของต้นมะลิอย่างขะมักเขม้น
"นั่นเธอกำลังทำอะไรน่ะพ่อหนูน้อย" เสียงหนึ่งร้องทักขึ้นจนผมสะดุ้ง เมื่อพยายามมองหาที่มาของเจ้าของเสียง ก็พบว่ามันเป็นเสียงของจิ้งหรีดตัวที่ผมรู้จักนั่นเอง
"ฉันก็กำลังกินน้ำค้างอยู่น่ะสิถามได้...เธอรู้ไหมจิ้งหรีด...ฉันน่ะอยากร้องเพลงได้เพราะเหมือนกับเธอแล้วก็พ่อของฉันไง...แล้วฉันก็จะกลายเป็นนักร้องเสียงทองในอนาคตด้วยนะ"
เมื่อได้ฟังผมพูด จิ้งหรีดก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา มันดีดตัวเองลงไปนอนหัวเราะเกลือกกลิ้งอยู่บนพื้นดิน ท่าทางของมันตอนนี้ช่างยียวนจนน่าจับไปคั่วเกลือกินกับข้าวต้มนัก...จิ้งหรีดเห็นผมมองมันด้วยแววตาขุ่นเขียว มันจึงหยุดอาการนั้นแล้วกระโดดขึ้นมายืนอยู่บนเข่าของผมก่อนจะกล่าวว่า
"นี่แน่ะพ่อหนูน้อย การกินน้ำค้างไม่ใช่เหตุผลที่จะทำให้เธอร้องเพลงได้ไพเราะหรอกนะ มันขึ้นอยู่กับการฝึกฝนต่างหากเล่า...การที่เราจะทำอะไรสักอย่างให้ดีและประสบผลสำเร็จได้ มันต้องมีการฝึกฝนด้วยความพากเพียร มานะ อดทน ที่สำคัญต้องมีความตั้งใจจริง"
"แล้วที่เธอบอกกับฉันว่า เธอเสียงไพเราะเพราะกินน้ำค้างล่ะ ?"
"ฉันก็พูดไปอย่างนั้นเอง เพราะจริง ๆ แล้วน้ำค้างแค่ช่วยไม่ให้ฉันคอแห้งเวลาร้องเพลงก็เท่านั้น...แต่ที่ฉันร้องเพลงได้ไพเราะเป็นเพราะฉันฝึกฝนและร้องอยู่เป็นประจำต่างหาก...พ่อเธอก็คงจะเหมือนกัน"
"งั้นก็หมายความว่าน้ำค้างนี่จะไม่ช่วยให้ฉันเสียงดีขึ้นงั้นรึ ?"
"คงงั้นแหละ !! ฉันว่าเธอกลับเข้าบ้านไปดีกว่านะพ่อหนูน้อย เช้านี้อากาศเย็นเสียด้วย ดีไม่ดีเกิดเธอเป็นหวัดเจ็บคอขึ้นมา เสียงของเธออาจจะแย่เข้าจริง ๆ " จิ้งหรีดพูดเสร็จก็กระโดดหายไปพร้อมกับเสียงหัวเราะของมันอีกครั้ง
หลังจากวันนั้นเมื่อผมรู้ว่าน้ำค้างไม่ได้ช่วยให้เสียงดี ผมก็ไม่เคยคิดที่จะเป็นนักร้องเสียงทองอีกเลย... อย่างไรก็ตาม ถึงผมจะไม่ได้เป็นนักร้องที่สร้างความสุขให้กับคนอื่น ๆ ด้วยเสียงอันไพเราะ แต่อย่างน้อยผมก็สร้างความสุขให้กับตัวเองอยู่บ่อย ๆ เพราะผมจะฮัมเพลงเบา ๆ ด้วยเสียงแหบห้าวทุกครั้งที่อารมณ์ดี...อาว์...ใช่แล้ว...ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นจริง ๆ...แม้มันจะกลายพันธุ์ไปบ้าง
เกี่ยวกับเรื่อง :
เรื่องที่พ่อของผมเป็นคนชอบร้องเพลง และร้องเพลงได้เพราะนั้น...เป็นเรื่องจริง(ขอยืนยัน)
แน่นอนว่าเรื่องของการออกไปกินน้ำค้างของผมเป็นเรื่องโกหก เพราะผมหยิบเอานิทานเกี่ยวกับคนที่อยากเสียงดีจนต้องออกไปหาน้ำค้างกินซึ่งพ่อเล่าให้ฟังตอนเด็ก ๆ มาขยำให้เป็นเรื่องเดียวกัน
จิ้งหรีด ไม่ได้ร้องเพลง แต่เสียงร้องของมันที่เรา ๆ ได้ยินเกิดจากการกระพือปีกอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดคลื่นความถี่ในอากาศ(วิทยาศาสตร์กันเห็น ๆ )
เรื่องที่ผมชอบฮัมเพลงทุกครั้งที่อารมณ์ดี เป็นเรื่องจริง...ถ้าไม่เชื่อ...ให้ผมไปฮัมให้ฟังที่บ้านไหมล่ะ...รับรองขนลุกเกรียวแน่ ๆ
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น