ผมเกิดที่ โรงพยาบาลวชิระ แถว ๆ ย่านสะพานซังฮี้ ฝั่งพระนครนั่นแหละครับ
ด้วยความที่ผมลืมตาดูโลกเร็วกว่ากำหนด ผมจึงต้องเข้า ตู้อบ นานกว่าเพื่อน ๆ ที่เกิดในวันเดียวกันอยู่หลายชั่วโมง…บางกระแสว่าครึ่งวัน…บางกระแสว่าวันหนึ่งเต็ม ๆ…ตัวผมเองยังไม่แจ้งเท่าไรนัก
ผมหย่านมเต้าตอนอายุได้ราวสองขวบ…..ไม่ใช่เพราะเบื่อ แต่เป็นเพราะผมแพ้กลิ่นของ มหาหิงค์ ที่แม่แอบเอามาป้ายที่ป้านนม…จะมีเด็กคนไหนที่ชอบกลิ่นของมหาหิงค์บ้างนะ?
แล้วตอนอายุราวสองขวบอีกเช่นกัน สร้อยคอทองคำหนักหนึ่งสลึงที่แม่ซื้อให้ผมใส่เมื่อคราวอายุครบขวบ ก็มีอันต้องลาจากผมไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ เพราะว่าแม่ต้องขายมันเพื่อนำเงินมาเป็นค่าใช้จ่ายอะไรบางอย่างในครอบครัว เวลานั้นเงินเดือนข้าราชการชั้นผู้น้อยอย่างพ่อดูจะชักหน้าไม่ถึงหลัง…ครอบครัวของเราช่างจนเสียจริง ๆ
ตอนที่ผมเริ่มจะเดินได้เหมือนกับเด็กคนอื่น ๆ ผมเคยทดลองเดินไปไกลจนเกือบถึงหน้าตลาด เหตุเนื่องมาจากผมตื่นนอนขึ้นมาแล้วไม่เจอแม่…แม่ที่ไปนั่งคุยกับเพื่อนบ้านอยู่ฝั่งตรงข้าม…..โชคดีที่ตอนขากลับ มีคนซึ่งรู้จักกับแม่อุ้มผมมาส่ง ผมจึงไม่ต้องเหนื่อย…แต่ผมไม่เข้าใจว่าทำไมตอนนั้นแม่ต้องทำหน้าซีดแล้วร้องไห้ไม่หยุด…แต่เชื่อไหม ตั้งแต่ครั้งนั้นเป็นต้นมา แม่ไม่เคยให้ผมอยู่ห่างสายตาอีกเลย
เรื่องข้างต้นนั้น เป็นเรื่องราวบางส่วนในวัยเด็กของผม…
ใครที่ไม่รู้ คงคิดว่าผมช่างเก่งเหลือหลาย ที่สามารถจดจำเรื่องราวในวัยเด็กขนาดนั้นได้แบบเป็นตุเป็นตะ…ต้องขอสารภาพล่ะครับว่าไม่ใช่…เรื่องทั้งหมดผมบันทึกมาจากปากคำบอกเล่าของแม่ แล้วเอามาขยำใหม่
เท่าที่คุ้นเคยกับชีวิตของตัวเองมานาน ผมเข้าใจว่าตัวเองน่าจะเริ่มจดจำเรื่องราวหรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้ก็คงเป็นตอนอายุประมาณซักสามขวบ…ก่อนหน้านั้น…ผมจำอะไรไม่ได้เลย!!
ผมไม่รู้ว่าคนอื่น ๆ เขาเริ่มจำความกันได้ตอนอายุเท่าไหร่…แต่สำหรับผม…ผมคิดว่าคนเราน่าจะเริ่มจำความได้ตั้งแต่อยู่ในท้องของแม่เสียด้วยซ้ำ…เมื่อเป็นเช่นนี้ แล้วอ้ายความทรงจำช่วงนั้นของผมมันหายไปไหน?
วันหนึ่งขณะที่ผมกำลังอาบน้ำ พลันหูก็แว่วได้ยินเสียงพูดคุยเบา ๆ อยู่ใกล้ ๆ เสียงนั้นแม้จะแผ่วแต่ก็สามารถจับที่มาได้ว่าอยู่ภายในห้องน้ำที่ผมกำลังอาบน้ำอยู่นี่แหละ
ผมค่อย ๆ กวาดสายตาไปรอบห้องน้ำเพื่อหาต้นตอของเสียง…แล้วผมก็เจอ…
จิ้งจก สองตัวเกาะอยู่บนฝ้าเพดานและกำลังคุยกันอย่างออกอรรถรสโดยไม่สนใจว่ามีมนุษย์คนหนึ่งแหงนหน้าขึ้นมองพวกมันอยู่ด้วยความสนใจ
ความจริงผมเองก็ไม่อยากจะสนใจอ้ายจระเข้จิ๋วสองตัวนี้สักเท่าไหร่และคงจะอาบน้ำต่อไป ถ้าเพียงแต่เรื่องที่พวกมันคุยกันไม่ใช่เรื่องของความทรงจำ…นั่นทำให้ผมต้องนั่งลงบนฝาของชักโครกเพื่อฟังบทสนทนาของจิ้งจกสองตัวอย่างตั้งใจ…ฟังทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้ล้างคราบสบู่ออกจากตัว…
“เธอเชื่อไหมว่า ฉันไม่สามารถจะจดจำเรื่องราวของตัวเองตอนอยู่ในไข่ได้เลย” จิ้งจกตัวลายดำว่า
“อย่าเป็นกังวลไปเลยเพื่อน ไม่มีจิ้งจกตัวใดในโลกที่สามารถจดจำเรื่องราวตอนอยู่ในไข่ได้หรอก ฉันเองก็จำไม่ได้เช่นกัน” จิ้งจกตัวสีเทาบอกกับเพื่อน
“แล้วเธอไม่สงสัยบ้างหรือว่า ความทรงจำของพวกเรามันหายไปไหน?” จิ้งจกลายดำยังคงสงสัย
“ก็เคยสงสัยอยู่เหมือนกัน เห็นเขาลือกันว่าความทรงจำบางช่วงนั้นมันถูกขโมยไปตอนที่เราเผลอ แต่ยังไม่เคยมีใครจับตัวหัวขโมยได้สักที...” จิ้งจกสีเทาพูดแล้วหันมาจ้องมองผมครู่หนึ่ง ก่อนจะหันกลับไปบอกกับจิ้งจกลายดำว่า
“ฉันว่าเรากำลังถูกมนุษย์ไร้มารยาทเสนอหน้ามาฟังเรื่องที่เราคุยกันอยู่นะ พวกเราไปคุยกันที่อื่นดีกว่า รำคาญมนุษย์คนนี้เหลือเกิน มานั่งโป๊ฟังจิ้งจกคุยกันอยู่ได้” จิ้งจกสีเทาชักชวนสหายของมันคลานหายไปในหลืบหลังเครื่องทำน้ำอุ่น
‘มนุษย์คนนี้’ ของจิ้งจกสีเทาคงจะหมายถึงผม…แต่ใครจะไปสน…ก็นี่มันห้องน้ำของผมนี่นา…อย่างไรก็ตาม ผมก็ได้อะไรบางอย่างมาจากการนั่งฟังบทสนทนาของจิ้งจกสองตัว
หนึ่งคือ เรื่องของความทรงจำที่หายไปบางช่วง อาจเป็นเพราะมันถูกขโมยไปโดยใครบางคนหรืออะไรบางอย่าง…..และสอง
การทิ้งคราบสบู่ให้จับอยู่ที่ตัวนาน ๆ โดยไม่รีบล้างออก ก็ทำให้คันได้เหมือนกัน
หลังจากเหตุการณ์ในห้องน้ำวันนั้น แม้ผมจะยังคงใช้ชีวิตปกติ แต่เรื่องของความทรงจำที่ถูกขโมยยังคงกรุ่นอยู่ในความคิดตลอดเวลา ผมพยายามหาคำตอบให้กับตัวเองว่า ใครกันหนอช่างสามารถมาขโมยความทรงจำของเราไปได้โดยที่เราไม่รู้ตัว…จนกระทั่งในคืนวันหนึ่ง…
มันเป็นคืนที่ผมนอนไม่หลับ อาจเป็นด้วยอากาศที่ร้อนอบอ้าวเหมือนฝนจะตก ผมลุกขึ้นมาจากเตียงนอน เดินออกมานอกห้องตั้งใจว่าจะออกไปสูดอากาศแบบอ้าว ๆ ที่นอกบ้านสักหน่อย
ภายในบ้านมืดจนผมต้องรอปรับม่านตาให้เข้ากับแสง ไม่จำเป็นต้องเปิดไฟเพราะอย่างไรเสียทุกซอกทุกมุมภายในบ้านผมคุ้นเคยกับมันดี…คงเป็นเรื่องตลกถ้าเราเดินชนข้าวของที่เห็นจนชินตาทุกวัน
ผมเดินไต่ความมืดลงมาตามขั้นบันไดจนถึงชั้นล่าง มองไปยังห้องนอนของแม่ซึ่งอยู่ถัดไปทางขวามือของราวบันได เห็นยังมีแสงไฟเล็ดลอดออกมาทางช่องใต้ประตู…แม่ยังไม่นอน
ผมค่อย ๆ เดินไปหยุดที่หน้าห้องของแม่ เคาะเบา ๆ มีเสียงตอบรับออกมาจากข้างในเรียกให้ผมเฃ้าไป
“แม่ทำอะไรอยู่จ๊ะ ทำไมยังไม่นอนอีก” ผมถาม
“เดี๋ยวก็ว่าจะนอนแล้วเหมือนกัน แต่ขอจัดข้าวของเก่า ๆ ให้เสร็จเสียก่อน” แม่ว่า
ข้าวของเก่า ๆ ของแม่ หมายถึงพวกรูปภาพเก่า ๆ ตอนผมยังเป็นเด็ก นอกจากนี้ยังมีพวกเครื่องใช้เด็กอ่อน จดหมาย หนังสือเรียน และของเล่นที่ชำรุดแล้วอีกบางส่วน…ทั้งหมดเป็นของผม
“แม่ยังเก็บของพวกนี้เอาไว้อีกหรือจ๊ะ” ผมนั่งลงข้าง ๆ แม่ หยิบของบางชิ้นขึ้นมาดู
“ใช่สิ เพราะเวลาแม่เห็นของพวกนี้ทีไร อดนึกถึงลูกเมื่อตอนเด็ก ๆ ไม่ได้ซักที ของพวกนี้มีประวัตินะแม่จะบอกให้ มันเหมือนกับว่าเมื่อวานลูกของแม่ยังเป็นเด็กอยู่เลย…ใช่…แม่จำได้” ประโยคหลังเหมือนแม่พูดกับตัวเองท่าทางมีความสุข
ผมแอบยิ้มให้กับความสุขของแม่
แอบยิ้มให้กับเรื่องราวของความทรงจำที่ถูกขโมย ซึ่งได้ยินมาจากจิ้งจกสองตัวในห้องน้ำ และแอบยิ้มให้กับสิ่งที่ค้างคาใจมานานว่า ความทรงจำบางช่วงของตัวเองมันหายไปไหน…บัดนี้มันถูกเฉลยแล้ว
ความทรงจำของผมไม่ได้หายไปไหน ความทรงจำของผมไม่ได้ถูกขโมย เพราะแท้จริงแล้วมันถูกแม่ของผมเก็บเอาไว้นั่นเอง…เก็บเอาไว้เพื่อถ่ายทอดให้ผมฟังในยามที่ผมเป็นผู้ใหญ่แล้วต่างหาก
แล้วทีนี้ล่ะ…ผมจะเอาความทรงจำที่แม่เก็บเอาไว้ และความทรงจำที่ตัวเองจำได้แบบเบลอ ๆ ในวัยเด็ก มาเล่าให้ใครหลาย ๆ คนได้ฟังบ้าง…ผมคิด !!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น