วันเสาร์ที่ ๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

๔.คำเชิญชวนของไม้ขีดไฟ


แสงสว่างที่เกิดจากปลายหัวไม้ขีดไฟเพียงหนึ่งก้าน อาจเป็นประกายไฟเริ่มต้นแห่งการเรียนรู้ที่มากมายของเด็กคนหนึ่ง...ว่าแต่...เขาได้เริ่มต้นเรียนรู้อะไรจากมัน.....


ในปีพุทธศักราชที่ เทคโนโลยี่ ช่วยให้คนเรารู้จักกับคำว่า ขี้เกียจ มากขึ้น(แต่เขามักจะเรียกกันเสียใหม่ว่า ความสะดวกสบาย) คำว่า เตาถ่าน ออกจะดูบรมเชยและถูกเก็บเข้าพิพิธภัณฑ์แห่งความทรงจำของใครบางคนไปเสียแล้ว...นั่นอาจจะรวมถึงผมด้วย

ตอนเด็ก ๆ เวลาที่ผมเดินเข้าไปในครัว ภาพ ๆ หนึ่งที่ผมเห็นจนชินตาก็คือ ภาพของแม่กำลังนั่งก้ม ๆ เงย ๆ ขมีขมันกับการ ติดเตาถ่าน เพื่อหุงข้าว

แม่จะใช้ถ่านไม้แท่งสีดำสนิท 3-4 แท่ง วางเอาไว้ในเตาก่อนจะนำเศษไม้แห้งและ ขี้ไต้ มาเป็นเชื้อเพลิงสำหรับติดไฟ ตอนที่ไฟเริ่มติดจะมีควันโขมงตลบไปทั่วห้องครัว ผมไม่ค่อยชอบช่วงเวลานี้นัก มันทำให้ผมรู้สึกแสบจมูกและสำลัก แต่นั่นก็แค่ครู่เดียวเพราะไม่นานกลุ่มควันก็จะจางหายไปคงเหลือไว้แต่เปลวไฟสีส้มสวยที่โลดแล่นอยู่ในเตาเหมือนคนกำลังเต้นระบำ เวลาที่เห็นผมเข้ามาดูแม่ติดเตาถ่านทีไร แม่มักจะพูดประโยคเดิม ๆ กับผมว่า

"ออกไปก่อนเถอะลูก เอาไว้โตกว่านี้อีกหน่อย แม่จะสอนให้ช่วยติดเตา"...

นั่นคงเป็นเพราะแม่ไม่รู้ว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่ แน่นอนว่าการติดเตาถ่านเป็นสิ่งหนึ่งที่ผมอยากทำ...แต่มันไม่ใช่สิ่งแรกของความต้องการน้อย ๆ...สิ่งแรกเริ่มสำหรับความปรารถนาของ เด็กชายคำนับ ก็คือ การได้ลองจุด ไม้ขีดไฟ ดูสักครั้งหนึ่ง...ใช่แล้ว...เจ้าไม้ขีดไฟกลักเล็ก ๆ นั่น ดูจะท้าทายความต้องการของผมเหลือเกิน...ผมชอบดูแม่จุดไม้ขีดไฟ...


ยามที่แม่หยิบเอาเจ้าก้านไม้ขีดกระจ้อยร่อยออกมาจากกลัก กระแทกหัวสีแดงเข้มของมันเข้ากับด้านข้างของกลักไม้ขีด ช่างเป็นภาพที่ดูน่าประทับใจสำหรับผมเสียจริง ๆ...เสียงกระแทกดัง 'แช็ก' ก่อเกิดประกายไฟที่แตกเป็นสะเก็ดตามมาด้วยเสียง 'ฟู่' และการลุกไหม้ที่ปลายหัวไม้ขีด เปลวไฟสว่างวาบขึ้นมาเหมือนถูกร่ายด้วยคาถา และก่อนที่เปลวไฟนั้นจะดับด้วยแรงลมหรืออะไรก็แล้วแต่ แม่ก็จ่อมันเข้ากับเศษไม้แห้งหรือขี้ไต้ในเตาจนกลายเป็นการลุกไหม้ต่อเนื่องและกลายเป็นกลุ่มควันโขมงในเวลาต่อมา เจ้าไม้ขีดไฟช่างดูน่าอัศจรรย์เสียนี่กระไร...ผมคิด

บรรดาไม้ขีดไฟเองก็คงรู้ว่ามีเด็กชายตัวน้อยกำลังยืนมองพวกมันอย่างชื่นชม พวกมันยืดอกราวกับคนที่ภาคภูมิใจในความสามารถของตัวเองซึ่งหาใครมาเปรียบเทียบได้ยาก ถึงไม่มีไม้ขีดไฟก้านไหนพูดกับผมในเวลานั้น แต่ผมก็พอจะเดาความรู้สึกของบรรดาก้านไม้ขีดได้ว่าพวกมันอยากจะพูดอะไรกับผม

"เธออยากจะสัมผัสพวกฉันสักครั้งใช่ไหมล่ะพ่อหนูน้อย" ไม้ขีดไฟคงจะพูดกับผมแบบนี้แน่ ๆ ถ้าพวกมันมีโอกาส...ใช่แล้วโอกาส...โอกาสที่จะมาถึงในไม่ช้า !!


วันหนึ่ง...แม่ไม่อยู่บ้าน...ผมไม่รู้ว่าแม่ไปไหน บางทีแม่อาจจะไปตลาดเพราะมันเป็นสถานที่เดียวที่แม่ชอบไปหรือบางทีก็จำเป็นต้องไป ส่วนผมกำลังนึกอยู่ว่าจะเล่นอะไรดี...แล้วผมก็นึกได้

ผมค่อย ๆ เดินย่องไปที่ครัว ถ้าการเดินย่องเป็นอาการของคนที่กำลังจะทำอะไรไม่ดีล่ะก็...สำหรับผมตอนนี้...ใช่เลย...เพราะแม่เคยสั่งเอาไว้ว่า ครัวไม่ใช่สถานที่ของเด็ก ๆ หากแม่ไม่อยู่หรือไม่อนุญาต ผมห้ามเข้ามาวุ่นวายในนี้เด็ดขาด

แต่ความต้องการที่จะทำอะไรบางอย่าง คำสั่งของแม่จึงเป็นแค่ลมพัดผ่านสำหรับเด็กน้อยอย่างผม

ที่ครัว...ผมเริ่มมองหาอะไรบางสิ่ง...บางสิ่งที่แม่ต้องวางมันเอาไว้ไม่มุมใดก็มุมหนึ่งภายในห้องนี้...แล้วจู่ ๆ ก็มีเสียงหนึ่งร้องทักผมขึ้นมา

"เธอกำลังมองหาพวกเราอยู่ใช่ไหมพ่อหนูน้อย" เสียงนั้นดังมาจากบริเวณข้าง ๆ เตาถ่าน

เมื่อผมมองไปตามที่มาของเสียงก็เห็นไม้ขีดไฟก้านหนึ่งนั่งอยู่บนกลักไม้ขีดของมันเอง แม้เจ้าไม้ขีดไฟจะมีแต่หัวสีแดงเข้มไม่มีลูกตา แต่ผมก็รู้สึกได้ว่ามันกำลังจ้องมาทางผมอย่างแน่นอน

"ใช่ฉันกำลังมองหาพวกเธออยู่" ผมตอบ

"พวกเราคิดเอาไว้ไม่ผิด เธอเป็นเด็กน้อยที่มีความปรารถนาอันแรงกล้าสำหรับความอยากรู้อยากเห็นจริง ๆ ด้วย...เธอคงอยากจะจุดประกายไฟจากพวกเราเหมือนกับที่แม่ของเธอทำใช่ไหมล่ะ ?"

ไม้ขีดไฟก้านน้อยกระโดดลงมาจากกลัก ก่อนจะดีดตัวเองขึ้นมาอยู่ในมือของผมซึ่งตอนนี้มันสั่นเทาไปหมดด้วยความตื่นเต้น...จริง ๆ แล้วผมสั่นไปทั้งตัวทีเดียวแหละ

"เธอกล้าจริง ๆ เหรอ" ไม้ขีดไฟถามเน้นเสียง มันคงกำลังหยั่งเชิงความต้องการของผมดู

"มะ...มะ..ไม่แน่ใจ...ฉันไม่แน่ใจเหมือนกัน" ผมตะกุกตะกักตอบ อากาศรอบตัวดูอบอ้าวจนเม็ดเหงื่อเล็ก ๆ ผุดขึ้นมาตามเนื้อตัวของผม

"แต่ฉันว่าเธอต้องกล้าแน่นอน เธอคงอยากจะลองจุดประกายไฟจากพวกเราจนอดใจแทบไม่ไหวแล้วใช่ไหม...แต่ที่เธอรีรออยู่คงเพราะกลัวแม่จะรู้ล่ะสิ ไม่ต้องกลัวหรอกหนูน้อย ความกล้าหาญที่จะเรียนรู้จะไม่ทำให้แม่เธอโกรธหรอก...จริงไหมพวกเรา"

ไม้ขีดไฟหันกลับไปถามพวกของมันซึ่งบัดนี้หลายก้านปีนป่ายออกมาจากกลักไม้ขีดแล้วส่งเสียงร้องเชียร์ราวกับว่าผมกำลังแข่งขันอะไรสักอย่าง เสียงเชียร์จากบรรดาไม้ขีดไฟทำให้จิตใจของผมดูฮึกเหิมขึ้นมาอย่างประหลาด ความรู้สึกกลัวว่าแม่จะจับได้แล้วถูกทำโทษกระโดดหนีหายไปหมดสิ้น เหลือไว้แต่ความรู้สึกอยากลอง

ผมเดินช้า ๆ ไปที่หน้าเตาถ่าน ก้มลงหยิบเอากลักไม้ขีดขึ้นมาถือไว้ในมืออีกข้างหนึ่ง จ่อเจ้าก้านไม้ขีดที่อยู่ในมือลงกับข้าง ๆ กลัก...มือผมยังสั่นอยู่ดี

"จุดเลย..จุดเลย...จุดเลย" บรรดาก้านไม้ขีดไฟส่งเสียงเชียร์ดังขึ้นไปอีก

"อย่านะพ่อหนูน้อย...อย่าไปฟังพวกไม้ขีดไฟงี่เง่านั่น พวกมันกำลังชักชวนให้เธอทำในสิ่งที่ยังไม่ถึงเวลาอันควร...เธอกำลังจะทำผิดรู้ไหม ?" บรรดาข้าวของเครื่องใช้ ในครัวพากันร้องห้ามจนเสียงขรม

"หุบปากไปเลยอ้ายพวก ถ้วย ถัง กะละมัง หม้อ...พวกแกต่างหากที่กำลังปิดกั้นการเรียนรู้ของเด็กคนนี้...อย่าไปฟังพวกมันพ่อหนูน้อย จุดประกายไฟแห่งการเรียนรู้ จากตัวฉันเลย แล้วเธอจะรู้ว่าตัวเองทำได้" ไม้ขีดไฟก้านที่อยู่ในมือผมตะโกนออกมาจนเหมือนเป็นคำสั่ง

แช็ก...ฟู่...เป็นเสียงผมกระแทกหัวไม้ขีดสีแดงสดเข้ากับข้างกลัก แล้วตามมาด้วยเสียงของประกายไฟที่เกิดจากการเสียดสี เปลวไฟสีส้มลุกพรึ่บขึ้นมาที่ปลายหัวไม้ขีด มันร้อนจนผมต้องสะบัดก้านไม้ขีดติดไฟทิ้งให้พ้นมือ...

ก้านไม้ขีดติดไฟกระเด็นตกลงไปในกระสอบถ่านไม้ ไฟยังคงลุกไหม้อยู่ มันลามเข้าไปติดกับกระสอบถ่านไม้อย่างรวดเร็ว จากเปลวไฟเล็ก ๆ กลายเป็นเปลวไฟที่ใหญ่ขึ้น ผมตกใจจนชาไปทั้งตัว...นี่ผมทำอะไรลงไป !!

ก่อนที่อะไรจะเลวร้ายไปกว่านี้ ก๊อกน้ำ ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กับบริเวณนั้น ก็พ่นน้ำออกมาจากปากของมัน สายน้ำที่ถูกพ่นออกมาตรงดิ่งเข้าสกัดและดับไฟในทันที ใช้เวลาเพียงชั่วครู่ไฟนั้นก็มอดดับลง พร้อมกับการเป่าปากอย่างโล่งอกของก๊อกน้ำ

สำหรับผม...ผมทรุดนั่งลงกับพื้น ความกล้า ความอยากเรียนรู้ หายไปจนหมดสิ้นคงเหลือไว้แต่ความสำนึกผิดและความกลัว...กลัวที่จะถูกแม่ตี...บรรดาก้านไม้ขีดไฟก้านที่เหลือพากันหัวเราะ น้ำเสียงดูไม่เป็นมิตรเหมือนตอนแรก หากแต่เป็นน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยการเยาะเย้ย

แล้ววันนั้นผมก็ถูกแม่ตีจริง ๆ


เกี่ยวกับเรื่อง :

เรื่องที่บ้านผมใช้เตาถ่านเมื่อตอนเด็ก ๆ และผมก็ชอบเข้าไปดูแม่ติดเตาในครัวนั้นเป็นเรื่องจริง

เรื่องที่ผมแอบเข้าไปเล่นไม้ขีดไฟในครัว จนไฟเกือบจะไหม้บ้านนั้นก็เป็นเรื่องจริง...แต่ไม่ได้เกิดจากการเชิญชวนของไม้ขีดไฟก้านใด หากแต่เป็นเพราะความซุกซน และอยากจะลองจุดไม้ขีดเหมือนกับที่แม่ทำ

เรื่องจริงอีกเรื่องก็คือ ก๊อกน้ำไม่ได้ช่วยผมดับไฟ แต่เป็นพี่ชายต่างบิดาของผมเองที่บังเอิญแวะมาหาแม่ที่บ้าน(พี่ชายผมคนนี้อยู่คนละบ้านกับผม) ถ้าวันนั้นพี่ชายผมไม่ได้แวะมา และเจอเหตุการณ์เข้าพอดี...ผมคงมีบ้านใหม่ไปแล้ว

สิ่งหนึ่งที่ผู้ใหญ่อย่างเรา ๆ พึงกระทำและเรียนรู้ก็คือ ควรเก็บการเรียนรู้บางเรื่องให้พ้นมือเด็ก จนกว่าจะถึงเวลาอันควร

ไม่มีความคิดเห็น: