กล้องถ่ายรูป ในมือของพ่อถูกยกขึ้นมาอยู่ในท่าเตรียมพร้อม พ่อไม่เคยถ่ายรูปมาก่อน นี่เป็นครั้งแรก...
มือทั้งคู่ที่ช่วยกันประคองกล้องเอาไว้สั่นเล็กน้อย พ่อมีท่าทางตื่นเต้นทั้ง ๆ ที่พ่อพยายามเก็บงำอาการเอาไว้...ทว่ามันคงล้นออกมา
"เอาล่ะนะ..ยิ้มนะ..หนึ่ง...สอง...สาม" พ่อกำลังส่งสัญญาณเพื่อบอกอะไรบางอย่าง
ผมเดินป้วนเปี้ยนอยู่รอบ ๆ กล่องสี่เหลี่ยมสีดำซึ่งพ่อวางมันเอาไว้บนฟูกนอนที่พับเก็บอย่างเป็นระเบียบตรงมุมห้อง.....
มันเป็นกล่องที่มีขนาดเล็กกว่าวิทยุทรานซิสเตอร์ของแม่เกือบเท่าตัว...ผมว่าวิทยุของแม่มีขนาดเล็กแล้ว...แต่อ้ายกล่องนี้มันเล็กกว่า...ผมได้ยินพ่อเรียกมันว่า กล้องถ่ายรูป
กล้องถ่ายรูปของพ่อนอกจากจะมีขนาดเล็กกว่าวิทยุของแม่แล้ว หน้าตาของมันก็ดูประหลาดและตลกด้วย มันมีตาข้างเดียว มีจมูกสั้น ๆ แต่กลมใหญ่ยื่นออกมาจากลำตัว หูเล็ก ๆ ทั้งสองข้างถูกผูกด้วยเชือกหนังสีดำสนิทเหมือนกับตัวของมัน ครั้งแรกที่ผมเห็นพ่อพาเจ้ากล้องถ่ายรูปตัวนี้กลับมาที่บ้านด้วย พ่อใช้เชือกหนังที่ว่าคล้องมันเอาไว้กับคอของพ่อ...พ่อคงล่ามมันมาตั้งแต่ที่ทำงาน...มันคงจะซนน่าดูนะอ้ายกล้องถ่ายรูปนี่...พ่อถึงต้องล่ามมันเอาไว้
พ่อบอกกับแม่ว่ายืมกล้องถ่ายรูปตัวนี้มาจากเจ้านาย วันหยุดพรุ่งนี้พ่อจะพาแม่กับผมไปถ่ายรูปที่เขาดินเพื่อเก็บภาพเอาไว้เป็นที่ระลึก
ถ่ายรูป คืออะไรนะ? ผมสงสัย
ช่างเถอะ...ไม่ว่ามันจะคืออะไร...แต่คำบอกเล่าของพ่อทำให้แม่ยิ้มแก้มปริได้ก็แสดงว่ามันเป็นเรื่องดี...เมื่อแม่มีความสุข ผมก็มีความสุขตามไปด้วย
กล้องถ่ายรูปคงสังเกตทีท่าของผมอยู่นานแล้ว ท่าทางมันดูอึดอัดน่าดูที่มีเด็กตัวเล็ก ๆ มาเดินดูรอบ ๆ ตัวอย่างพินิจพิจารณา
"นี่พ่อหนูน้อย เธอจะดูอะไรกันนักหนา ฉันไม่ใช่ตัวประหลาดนะจะบอกให้ ฉันเป็นกล้องถ่ายรูป" กล้องถ่ายรูปว่า
"ฉันรู้ว่าเธอคือกล้องถ่ายรูป ฉันได้ยินพ่อบอกกับแม่ว่าอย่างนั้น...ว่าแต่เธอทำอะไรได้ล่ะ ?" ผมถาม
"เอ๊ะ!! เด็กนี่...เมื่อฉันเป็นกล้องถ่ายรูป ฉันก็ต้องถ่ายรูปได้น่ะสิ ไม่น่าถาม"
"นี่ล่ะที่ฉันอยากรู้...คำว่าถ่ายรูปของเธอมันคืออะไรล่ะ ?"
ตอนนี้กล้องถ่ายรูปคงอยากยกมือข้างหนึ่งขึ้นตบหน้าผากตัวเอง ส่วนอีกข้างหนึ่งยกขึ้นมาเกาหัวให้ดังแกรก...น่าเสียดายที่มันไม่มีมือสักข้าง
"ถ่ายรูปก็คือการที่ฉันจ้องมองเธอสักครู่ รอจนกว่าเธอจะจัดท่าทางที่คิดว่าดูดีที่สุดแล้วหยุดท่าทางนั้นไว้ชั่วขณะ แล้วฉันก็จะเก็บท่าทางที่เธอคิดว่าดูดีเอาไว้ในความทรงจำของฉันที่เรียกว่าฟิล์ม เมื่อเธอเอาความทรงจำที่ฉันบันทึกเก็บเอาไว้ไปล้างที่ห้องอัดภาพ เธอก็จะได้รูปถ่ายออกมาซึ่งมันก็จะกลายเป็นความทรงจำของเธอเอง" กล้องถ่ายรูปพยายามอธิบาย แต่นั่นมันซับซ้อนเกินไปสำหรับเด็กอย่างผม
"ทำไมฉันต้องให้เธอมาช่วยเก็บความทรงจำด้วยนะ ก็ในเมื่อฉันมีพ่อกับแม่ช่วยเก็บความทรงจำที่ดีเอาไว้แล้วนี่นา" ที่จริงประโยคนี้ผมพึมพำกับตัวเอง
"พ่อ...ทำไมวางกล้องถ่ายรูปเอาไว้ซี้ซั้วอย่างนี้ล่ะ เดี๋ยวลูกก็หยิบไปเล่นพังหมด...ของแพงแบบนี้เสียแล้วไม่มีเงินซื้อใช้เขานะ"
เสียงของแม่ทำให้การสนทนาระหว่างผมกับกล้องถ่ายรูปยุติลง แม่เดินเข้ามาหยิบกล้องถ่ายรูปตัวนั้นขึ้นไปวางไว้บนหลังตู้เสื้อผ้าก่อนจะหันกลับมาอุ้มผมขึ้นไว้ในวงกอดของแม่
"คุยอะไรอยู่คนเดียวลูก เราเริ่มจะคุยเก่งแล้วนะ พูดได้ตั้งหลายคำแล้วนี่...รู้ไหมพรุ่งนี้พ่อจะพาไปเที่ยวเขาดิน เราจะไปถ่ายรูปกัน" แม่บอกก่อนจะหอมแก้มผมฟอดใหญ่
หลายวันต่อมา...
หลังจากที่ครอบครัวของเราพากันไปถ่ายรูปที่เขาดิน พ่อก็เอาภาพแห่งความทรงจำที่ได้จากกล้องถ่ายรูปมาให้แม่กับผมดู
กล้องถ่ายรูปนี่ก็เก่งไม่ใช่เล่น เพราะมันสามารถเก็บความทรงจำของผมกับแม่ได้เหมือนอย่างไม่มีผิดเพี้ยน เสียอย่างเดียวก็คือความทรงจำที่ได้มีแต่สีขาวกับสีดำเท่านั้น และน่าเสียดายที่พ่อไม่ได้ร่วมเก็บความทรงจำเอาไว้ด้วย เพราะพ่อต้องคอยล่ามเจ้ากล้องถ่ายรูปเอาไว้ที่คอของพ่ออยู่ตลอดเวลา
"แม่ดูลูกเราถ่ายรูปสิ ทำปากจู๋เกือบทุกรูปเลย ไม่หล่อเหมือนพ่อเลยแฮะ" พ่อบอกกับแม่ ซึ่งแม่ก็พยักหน้าหงึกหงักเห็นด้วย
แม่กับพ่อคงไม่รู้หรอกว่าที่ผมทำปากจู๋นั้น ผมกำลังบอกกับกล้องถ่ายรูปว่า
"หูยยยย !! เธอไม่ต้องมาเก็บความทรงจำให้ฉันหรอก เพราะฉันมีพ่อกับแม่เก็บให้อยู่แล้ว"
ความทรงจำบางภาพที่ได้ในวันนั้นอาจจะดูไหวหรือไม่ก็เบลอไปบ้าง...แต่ทุกครั้งที่หยิบมันขึ้นมาดู ก็พบว่ามันยังสวยงามไม่เคยเปลี่ยนแปลง
เกี่ยวกับเรื่อง :
เรื่องที่พ่อผมยืมกล้องถ่ายรูปมาจากเจ้านายเพื่อบันทึกความทรงจำของผมกับแม่นั้น...เป็นเรื่องจริง
แต่เรื่องความทรงจำเกี่ยวกับการถ่ายรูป แม่เป็นผู้เล่าให้ผมฟังเมื่อนานมาแล้ว ด้วยเพราะผมในเวลานั้นเด็กเกินกว่าที่จะจดจำเรื่องราวอะไรได้...อายุผมคงอยู่ในราวขวบกว่า ๆ กระมัง
เรื่องการสนทนาระหว่างผมกับกล้องถ่ายรูปเป็นเรื่องโกหกแน่นอนอยู่แล้ว...แต่เรื่องที่ผมถ่ายรูปแล้วทำปากจู๋ เป็นเรื่องจริงที่สุด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น