วันอาทิตย์ที่ ๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๑
๙.ความหวังดีของไม้บรรทัดและเด็กผู้หญิงผมเปีย
บางครั้งคำว่า 'ความหวังดี' ก็ทำให้อะไร ๆ ดูแย่ลงกว่าที่คิด.....
หลังจากจบชั้นอนุบาล ผมก็ต้องย้ายที่เรียนไปยังโรงเรียนแห่งใหม่ซึ่งใหญ่กว่าเดิม ทั้ง ๆ ที่หัวใจดวงน้อยของผมยังคงผูกพันอยู่กับเพื่อน ๆ คุณครู และกลิ่นอายของรั้วอนุบาล...แต่จะทำเช่นไรได้...ก็ในเมื่อโรงเรียนอนุบาลของผม มันไม่มีชั้นประถมนี่นา !!
โรงเรียนใหม่อะไรต่าง ๆ ก็ดูจะใหม่ตามไปด้วย เพราะนอกจากคุณครูกับเพื่อนคนใหม่ ๆ ที่ผมจะได้เจอะเจอแล้ว ยังมีชุดนักเรียน กระเป๋า รองเท้า ถุงเท้า สมุด หนังสือ ดินสอ ยางลบ และไม้บรรทัด ที่ทุกอย่างล้วนใหม่หมด...เสมือนเป็นการต้อนรับ เด็กนักเรียนชั้นประถม ๑ คนใหม่...ใช่แล้ว เด็กชายคำนับ คนนี้นี่เอง
ในบรรดาข้าวของเครื่องใช้ใหม่สำหรับการเป็นเด็กนักเรียนชั้นประถม ๑ ของผมนั้น ที่ถูกอกถูกใจที่สุดเห็นจะเป็น ไม้บรรทัด อันสวยที่พ่อซื้อมาจากย่าน บางลำพู มันเป็นไม้บรรทัดที่ทำมาจากพลาสติกอย่างดีมีลายการ์ตูนสวยงาม ที่สำคัญลายการ์ตูนนั้นมันเป็นเหมือนภาพสามมิติที่เวลาเราขยับไม้บรรทัดไปมา ตัวการ์ตูนก็จะขยับท่าทางเปลี่ยนไปด้วย...มันช่างน่าทึ่งใช่ไหมล่ะ ?...ผมชอบไม้บรรทัดอันนี้มาก และสัญญาจะเป็นเพื่อนที่ดีกับมันให้นานที่สุด...ไม้บรรทัดเองก็คงเข้าใจความรู้สึกของผมดี เพราะมันเองก็สัญญากับผมว่าจะรับใช้ผมอย่างซื่อตรง ให้เหมือนกันลำตัวที่เป็นแนวตรงของมัน
ห้องเรียนของชั้นประถม ๑ ที่ผมเรียนอยู่นี้ มีเด็กนักเรียนชาย-หญิงรวมกันทั้งหมดประมาณยี่สิบกว่าคน(นับรวมผมเข้าไปแล้ว) แต่ละคนล้วนเป็นว่าที่ปราชญ์ตัวน้อยที่แสนจะน่ารัก(นั่นก็รวมถึงผมด้วยอีกเช่นกัน)...คงไม่ใช่เรื่องแย่เกินไปนักสำหรับผม ที่จะหาเพื่อนใหม่จากห้องเรียนแห่งนี้...ยกเว้นก็แต่...ยกเว้นก็แต่ เด็กผู้หญิงที่ไว้ผมเปีย คนนั้น...
เธอเป็นเด็กหญิงผมเปียตัวน้อยและเป็นเจ้าหญิงแสนสวยในสายตาของใครหลาย ๆ คน...แต่สำหรับผม...เธอเป็นวายร้ายทีเดียวล่ะ !!
เด็กหญิงผมเปียคนนี้เธอนั่งเรียนอยู่ข้างหน้าผม เวลาเรียนหนังสือเธอมักจะทำท่าเหมือนกับสนใจในสิ่งที่คุณครูสอนเสียเต็มประดา แต่จริง ๆ ผมเชื่อว่าเธอเองก็อยากจะพักและลงไปวิ่งเล่นในสนามเหมือนกับผมจนใจแทบจะขาด
เธอชอบยกมือตอบคำถามในทุกเรื่องที่คุณครูถาม ในขณะที่เด็กคนอื่น ๆ พยายามก้มหน้าก้มตามองโต๊ะเรียน...เธอชอบส่งเสียงแหลมเล็กเหมือนจิ้งหรีดฟ้องคุณครูว่าคนโน้นคนนี้คุยเสียงดังจนเธอไม่มีสมาธิ...จะว่าไปแล้วเด็กหญิงผมเปียคนนี้จะทำอะไรมันก็เป็นเรื่องของเธอ ท่าเพียงแต่คนที่เธอชอบฟ้องกับคุณครูนั้น...ไม่ใช่ผม
เธอชอบฟ้องคุณครูว่าผมชอบคุยเสียงดังทั้ง ๆ ที่นักเรียนคนอื่น ๆ คุยเสียงดังกว่าผมอีก...เธอกล่าวหาว่าผมขโมยยางลบของเธอ ทั้ง ๆ ที่เพื่อนซึ่งนั่งข้าง ๆ ผมเป็นคนหยิบมาแท้ ๆ...เธอบอกกับคุณครูว่าผมเอาดินสอเขี่ยหางเปียเธอเล่น ทั้งที่ความจริงผมเปียของเธอยาวพาดมาที่โต๊ะของผมเอง ผมก็แค่เอาอะไรเขี่ยมันให้พ้นโต๊ะของตัวเองต่างหาก
เธอคงไม่ค่อยชอบขี้หน้าผม...และผมก็เหลืออดกับเด็กหญิงผมเปียคนนี้เหลือเกินแล้ว...แต่เด็กผู้ชายที่น่ารักต้องไม่ทะเลาะกับเด็กผู้หญิง แม่ของผมเคยสอนไว้ ดังนั้นทุกครั้งที่มีเรื่องกับเธอ ผมจึงลงเอยด้วยการถูกคุณครูทำโทษทุกทีไป
วันหนึ่งขณะที่เรา(นักเรียนชั้นประถม ๑) กำลังเรียน กา มา ดู ปู อยู่นั้น เด็กหญิงผมเปียก็ยกมือขึ้นพร้อมกับฟ้องคุณครูด้วยน้ำเสียงแหลมเล็กของเธอว่า ผมเอาไม้บรรทัดไปแหย่หางเปียเธอเล่น ผมตกใจจนหน้าถอดสีและพยายามอธิบายกับคุณครูว่าผมไม่ได้ทำ...ทว่าคุณครูดูเหมือนจะไม่อยากฟังคำอธิบายของผม เพราะว่าหลักฐานที่อยู่ในมือของผมก็คือไม้บรรทัดอันสวยที่ตอนนี้มันกำลังพยายามเอาหางเปียของเด็กหญิงพันเข้าไว้กับลำตัวของมันแล้วออกแรงดึง...แม้ไม้บรรทัดจะอยู่ในมือของผมก็จริง แต่มันทำของมันเอง ผมไม่ได้ทำอะไรเลย...อย่างไรก็ตามภาพที่คุณครูและเพื่อนในห้องมองเห็นคือผมกำลังแกล้งเด็กหญิงผมเปียคนนั้นอยู่ชัด ๆ...วันนั้นผมโดนทำโทษให้ไปยืนหน้าห้องเรียนจนหมดชั่วโมง
เย็นวันนั้น...ที่บ้าน...ผมหยิบเอาไม้บรรทัดตัวต้นเหตุออกมาจากกระเป๋านักเรียน มองมันด้วยสายตาเคืองขุ่น
"เธอคงอธิบายได้ใช่ไหมว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้น" ผมถาม...ไม้บรรทัดอ้ำอึ้งอยู่สักครู่ มันพยายามไม่สบตาผม แต่เมื่อเห็นว่าไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้มันจึงเอ่ยขึ้นมาว่า
"เหตุการณ์วันนี้ทั้งหมดเป็นฝีมือของฉันเองแหละพ่อหนูน้อย...ก็ยัยเด็กผมเปียนั่นชอบแกล้งเธออยู่เรื่อย ในฐานะเพื่อน ฉันก็เลยอยากจะแก้แค้นคืนให้กับเธอบ้างก็เท่านั้น"
"ด้วยวิธีนี้เนี่ยนะ...เธอรู้ไหมว่าเธอทำอะไรลงไป...การกระทำของเธอไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้นเลยนะ แต่มันยิ่งทำให้แย่ลงเข้าไปอีก...นี่หรือเพื่อน...เพื่อนเขาช่วยเพื่อนกันแบบนี้เองหรือ ?"
ไม้บรรทัดก้มหน้านิ่งอย่างผู้สำนึกผิดอยู่เบื้องหน้าของผม...เวลาดูเหมือนจะผ่านไปเนิ่นนาน แต่ก็ยังไม่มีคำพูดใด ๆ หลุดออกมาจากปากของเราทั้งคู่ คงปล่อยให้ความเงียบทำงานของมันไปเรื่อย ๆ จนกระทั่ง...
"พ่อหนูน้อย ฉันขอโทษ....." เจ้าไม้บรรทัดเอ่ยขึ้น เสียงของมันช่างแผ่วเบาจนแทบจะกลืนไปกับความเงียบนั้น
"ฉันไม่ได้ตั้งใจที่จะทำให้เกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับเธอ...ฉันเพียงแต่ต้องการตอบแทนในฐานะที่เธอเป็นทั้งเพื่อนและเจ้าของตัวฉันก็เท่านั้นเอง...ท่าความหวังดีของฉันมันทำให้เธอรู้สึกแย่ ก็ลงโทษฉันเถิด...แต่ฉันขอโทษจริง ๆ " ไม้บรรทัดพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ
"ช่างเถอะ...ไหน ๆ เรื่องมันก็ผ่านไปแล้ว...ไม่มีประโยชน์ที่ฉันจะทำโทษเธอ แต่ฉันหวังว่าคงจะไม่เกิดเหตุการณ์อะไรทำนองนี้ขึ้นอีก..." ผมหยุดจังหวะการพูดเล็กน้อย เมื่อเห็นไม้บรรทัดมีสีหน้าที่ดีขึ้นเพราะรู้ตัวว่าจะไม่ถูกทำโทษ ผมจึงพูดต่อว่า
"ถึงฉันจะโดนเด็กผู้หญิงผมเปียคนนั้นแกล้งทุกวัน แต่จริง ๆ แล้วฉันก็ไม่ได้โกรธเคืองอะไรเธอนักหรอก และฉันเองก็เริ่มที่จะชินกับเธอเสียแล้ว...ฉันว่าสักวันเราทั้งคู่อาจจะกลายเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันก็ได้"
ใช่แล้ว...ความจริงมันเป็นเช่นนั้น เพราะต่อมาไม่นานผมกับเด็กหญิงผมเปียก็กลายเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน...อย่างน้อยก็จนเราทั้งคู่เรียนจบชั้นประถม ๑ เพราะพอขึ้นชั้นประถม ๒ เด็กหญิงผมเปียก็ย้ายโรงเรียนไปแล้ว
ผมรู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก เมื่อรู้ว่าจะไม่มีเด็กผู้หญิงผมเปียคอยมาชวนทะเลาะอีกแล้ว...นี่ถ้าเรายังเรียนอยู่ด้วยกัน ผมว่าสักวันเธอกับผมต้องได้เป็นแฟนกันแน่ ๆ และเมื่อเรียนจบเราทั้งคู่อาจจะได้แต่งงานกัน...ใครจะไปรู้...นั่นเป็นความคิดแบบเด็ก ๆ ของผม !!
สำหรับเจ้าไม้บรรทัดอันสวย มันยังรับใช้ผมมาอีกนานจนกระทั่งประถม ๔ มันก็หักไปด้วยสภาพสังขารอันควร
เกี่ยวกับเรื่อง :
ตอนเรียนประถม ๑ ผมได้ไม้บรรทัดอันใหม่แบบที่ว่าจริง ๆ คือมีภาพการ์ตูนที่ดูเป็นสามมิติ และมันก็อยู่กับผมมาจนถึงชั้นประถม ๔...แต่เรื่องโกหกก็คือ มันพูดไม่ได้เพราะเป็นแค่ไม้บรรทัดธรรมดา ๆ
เรื่องเกี่ยวกับเด็กผู้หญิงผมเปียที่นั่งเรียนอยู่ข้างหน้าผมก็เป็นเรื่องจริง ผมกับเธอทะเลาะกันบ่อยมากแต่เราก็ยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน(จะเอาอะไรกับเด็กล่ะเนอะ) และเธอก็ย้ายที่เรียนไปจริง ๆ พอขึ้นชั้นประถม ๒
เรื่องโกหกอีกเรื่องหนึ่งก็คือ ผมไม่เคยคิดจะแต่งงานกับเด็กผู้หญิงผมเปียคนนี้...นั่นเพราะผมเด็กเกินไปที่จะคาดเดาได้ว่า เมื่อโตขึ้นเธอจะน่ารักเหมือนเมื่อครั้งวัยเด็กหรือเปล่า ?
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น